16 ตุลาคม 2554

เพลงสมัยเด็ก ๆ คุณยังจำมันได้ไหม

เพลง จ้ำจี้ผลไม้

จ้ำจี้ผลไม้ แตงไทย แตงกว่า ขนุนน้อยหน่า พุดทรา มังคุด ละมุด ลำไย มะเฟือง มะไฟ
มะกรูด มะนาว มะพร้าวส้มโอ ฟักแฟง แตงโม ไชโย โห่ฮิ้ว~~...

เพลง สิกก้องก๋อ

สิกก้องก๋อ บ่าหลอก้อ บ่าแคว้งสุก ปลาดุกเน่า หัวเข่าป๋ม หัวนมปิ้ว ปิ๊ดจะหลิ้ว ตกแม่น้ำกวง
จะลงตังใด จะลงตังนี้... (ตกโต้ม)

เพลง 1 2 3 ปลาฉลามขึ้นบก

1 2 3 ปลาฉลามขึ้นบก 4 5 6 จิ้งจกยัดใส้ ไอแอมเชอรี่จั๊กจี้หัวใจ
ไอแอมตกบันไดเพราะไอ้หมาตัวนี้..

เพลง รถไฟจะไปโคราช

รถไฟจะไปโคราช ตดดังป๊่าด ถึงราชบุรี ตดอีกทีถึงบริษัท บริษัทป้ำๆ เป๋อๆ
ขอเสนอนิยายเรื่องสั้น ป้ากะปู่ กู้อีจู้ ป้าไม่อยุ่ ปู่ไปเที่ยว...

เพลง คนอะไร คนไทย....

คนอะไร คนไทย ไทยอะไร ไทยกอ กออะไร กอได่ ไก่อะไร ไก่แจ้ แจ้อะไร แจ้ฟ้า
ฟ้าอะไร ฟ้าแล่บ แล่บอะไร แล่บลิ้น ลิ้นอะไร ลิ้นชัก ชักอะไร ชักว่าว ว่าวอะไร
ว่าวจุฬา จุฬาอะไร จุฬาลงกรณ์ กรณ์อะไร กลอนประตู ประตูอะไร ประตูน้ำ น้ำอะไร น้ำตก
ตกอะไร ตกปลา ปลาอะไร ปลาหมอ หมดออะไร หมอดู ดูอะไร ดูไพ่ ไพ่อะไร ไพ่ป๊อก
ป๊้อกอะไร ป๊อกเด้ง....

เพลง โดเรม่อน

โดเรม่อน ม่อน ม่อน โดเรมี่ มี่ มี่ โนบิตะ ชิซุกะ โซเนะโอะ ใครชนะได้เป็นใจแอน (เป่ายิ้งฉุบกัน)

เพลง ปิงป่องแช่

ปิงป่องแช่ ปิงป่องแช่แช่ ปิงป่องแช่...(ร้องหลายท่อนนะเพลงนี้)

เพลง นางเงือกน้อย

นางเงือกน้อย...มีชั้นบน มีชั้นล่าง มีชั้นหน้า มีชั้นหลัง มีทุก ๆ ชั้น
ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม ปิ๊ง ๆ
ชั้นสี่ ชั้นห้า ชั้นหก ปิ๊ง ๆ
ชั้นเจ็ด ชั้นแปด ชั้นเก้า ปักเป่ายิงฉุบ

เพลง กรรไกรไข่ผ้าไหม

กรรไกรไข่ผ้าไหม ไข่หนึ่งใบสองบาทห้าสิบ
ห้าสิบสองบาทหนึ่งใบ ไข่ผ้าไหม ไข่กรรไกร

เพลง สมบัติตกปลา

สมบัติตกปลา ภรรยาตกกุ้ง สมบัติจอมยุ่งเข้ามุ้งภรรยา พอดีไฟดับ..ฉึกฉับ ฉึกฉัก
พอดีไฟมาภรรยาท้องโต สมบัติดีใจตกบันไดคอหัก ภรรยาเสียใจตกบันไดผ้าถุงเปิด
(เพลงนี้จะเล่นเปิดกระโปรงกัน ซึ่งพวกเด็กชายชอบกันมาก ๆ -*-)

เพลง จ้ำจี้มะเขือเปาะ

จ้ำจี้มะเขือเปาะ กะเทาะหน้าแว่น พายเรืออกแอ่น กระแท่นต้นกุ่ม สาวสาว หนุ่มหนุ่ม
อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด เอากระจกที่ไหนส่อง
เยี่ยมเยี่ยมมองมอง นกขุนทองร้องวู้...

15 ตุลาคม 2554

น้ำท่วม ของที่ควรพกติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน


อนาคต ตึกที่สูงที่สุดในโลก!! Kingdom Tower

ตึกที่สูงที่สุดในโลกในอนาคต อีกไม่กี่ปี ใครจะเชื่อว่าตอนนี้มีความสูงถึง 1.6 กิโลเมตร จะกำลังทำลายสถิติตึกที่สูงที่สุดในโลก โดยตอนนี้ตึกที่สูลที่สุดในโลกอยู่ที่ เมืองดูไบ คือ ตึก Burj Khalifa ที่มีความสูง 828 เมตร
        
        ตึก Kingdom Tower กำลังจะมาแทนที่ โดยจะดำเนินการสร้างเสร็จในปี 2016-2017 สร้างขึ้นที่เมือง Jeddah ประเทศซาอุดีอาระเบียโดยมีความสูงถึง 1600 เมตร ทำให้ตึกนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า Mile-High Tower
        
        Kingdom Tower มีมูลค่าการก่อสร้างถึง 30,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐถ้าเทียบเป็นเงินบาทไทยก็ประมาณ 900,000 ล้านบาท โดยเป็นความประสงค์ของเจ้าชาย Al Waleed Bin Talal ผู้ออกแบบคือบริษัท Adrian Smith + Gordon Gill Architecture 
        
        เรามาดูรูปกันค่ะ

        

        

        

        

        

        

        

14 ตุลาคม 2554

ทำให้บ้านเย็นด้วยวิธีง่ายๆ



ทำให้บ้านเย็นด้วยวิธีง่ายๆ


ปล่อยให้เค้าเลื้อยเค้าเกาะไป แบบนี้ก็สวยดีด้วยนะ 




                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        
        
                                        

13 ตุลาคม 2554

10 มหาเศรษฐี ระดับโลก ที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย

อ่าน forward mail เรื่อง มหาเศรษฐี ที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย มานานพอสมควรแล้ว แต่วันนี้ หลังจากอ่านข่าว สตีฟ จ็อปส์ เสียชีวิต อยู่ๆก็นึกถึงforward mail ฉบับนี้ขึ้นมา (เพราะสตีฟ จ็อปส์ ก็เป็นหนึ่งคนที่ประสบความสำเร็จโดยที่ไม่มีใบปริญญา) และแล้วก็ได้เวลาค้นหาอีเมลล์มาให้เพื่อนๆ Sanook! Campus ที่ยังไม่เคยอ่านได้อ่านกัน
เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงนะครับ คำว่า  ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น บางครั้งไม่ต้องจบระดับปริญญาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ เพียงแค่มีโอกาส ความเชื่อ และความพยายาม   ตัวอย่าง 10 คนดัง ต่อไปนี้ที่ก้าวข้ามคำว่าใบปริญญาและประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่ตนเองได้เลือกเอง


1. ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin
ด้วยภาพลักษณ์นักธุรกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับนักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอยแถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น



2. โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Channel
เธอเกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนลผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้า สร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอเป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง



3. ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell)  : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell
ไปไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC's Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผันตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน



4.เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) : ผู้ก่อตั้ง Ford Motor
เขาออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ



5. บิล เกตส์ (Bill Gates) : ผู้ก่อตั้ง Microsoft
ติด อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 - 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะมุ่งมั่นมากที่ จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้วยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษาและสุขภาพแก่คนทั้งโลก



6. สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs)  : ผู้ก่อตั้งและสร้างความยิ่งใหญ่ ให้แบรนด์ Apple
เรียนมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์



7. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron)  : ผู้กำกับระดับออสการ์
หยุด เรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวาตาร



8.เลดี้ กาก้า (Lady Gaga)  : นักร้องซุปเปอร์สตาร์ หลุดโลก
กว่าจะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเอง จนกระทั่งปีสองเทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ "เลดี้ กาก้า" ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง "เรดิโอ กา ก้า"



9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) : อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก
เล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน 11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี



10. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)  : ผู้ก่อตั้ง Facebook
ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก
*จะดีมั้ยถ้าประเทศไทย วัดคุณภาพคนและคุณภาพงาน จากตัวตนและผลงานของคนๆนั้นจริงๆ โดยไม่ดูที่ใบปริญญา?!?

                                                
                                                                                                        

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://campus.sanook.com/

12 ตุลาคม 2554

ขับรถตะลุยน้ำท่วม ...เคล็ดไม่ลับเมื่อต้องผจญภัยพิบัติ


กลายเป็นเหตุการณ์ใหญ่ระดับประเทศไปแล้วสำหรับเรื่องราวของน้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นในหลายๆจังหวัดของประเทศไทย แต่มันก็ทำให้เห็นว่าคนไทยเราไม่เคยทิ้งกันในยามยาก ไม่แบ่งสี ไม่แบ่งพรรคพวก เพราะเราคือคนไทยเลือดเดียวกันที่ความสามัคคีครั้งนี้จะช่วยให้เราทุกคนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้
ก่อนหน้านี้เราเคยได้กล่าวถึงเรื่องราวการดูแลรถในภาวะน้ำท่วม ทั้งการเตรียม พร้อม ก่อน และ หลัง จากเหตุการณ์ไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังมีหลายคนถามมาว่า แล้วกับการขับรถในพื้นที่น้ำท่วมนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง และวันนี้ เราก็จะให้เพื่อนๆได้รู้กันว่าการขับรถในสภาวะน้ำท่วมไม่ยากอย่างที่คิด
ขับรถลุยน้ำท่วม
1.ประเมินสถานการณ์ ข้อสำคัญข้อแรกก่อนลุยน้ำท่วมคือประเมินสถานการณ์ที่ถูกต้องกับระยะทางที่น้ำท่วม ระดับความลึก ซึ่งคุณสามารถสังเกตได้จากรถคันที่สวนมาหรือคันข้างหน้า ตลอดจนความเชี่ยวของน้ำ ก็ล้วนเป็นปัจจุบันสำคัญที่คนขับนั้นจำเป็นต้องรู้ ตามปกติแล้วเรามักจะให้คำแนะนำว่ารถแต่ละประเภทนั้นสามารถลุยน้ำได้ในระดับประมาณ ครึ่งล้อของรถคันนั้นๆ ถือว่าเป็นระดับที่ยังปลอดภัยอยู่ แต่ถ้าเกินกว่านั้น ก็เป็นเรื่องราวของการมีความเสียงต่อการเดินทาง อาจจะตายกลางทางท่ามกลางกระแสน้ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไปไม่ได้เสียเลย
ขับรถลุยน้ำท่วม
2.เตรียมตัวเปียกกันได้ เมื่อเราประเมินสถานการณ์เรียบร้อย คำนวนอย่างว่องไว และเราตัดสินใจว่า เราจะมุ่งหน้าต่อไปยังทางที่น้ำท่วมข้างหน้า ก็ได้เวลาที่เราจะเตรียมพร้อมในการลงน้ำ โดยปกติแล้วที่เราเห็นเรามักจะขับรถลงไปเฉยๆ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะน้ำมีมวลและความหนาแน่นมากกว่าอากาศ ดังนั้น เมื่อเราขับรถลุยน่ำเราจำเป็นต้องลงเกียร์ต่ำโดยใช้เกียร์ 1 สำหรับรถเกียร์ธรรมดา และ เกียร์ L สำหรับเกียร์อัตโนมัติ และที่สำคัญห้ามลืมคือปิดระบบปรับอากาศ เพราะการทำงานของระบบปรับอากาศนั้น ในรถบางรุ่นที่เป็นพัดลมแยก ทำให้มันตีน้ำไปสู่ชิ้นส่วนต่างๆ วึ่งหากแจ๊คพอทไปโดนพวกระบบจุดระเบิดก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณได้ลอยคอกลางน้ำท่วมแน่ๆ
3. Walking Speed เรื่องสำคัญ ในการลุยอุปสรรคต่างๆนั้น โดยเฉพาะเมื่อน้ำท่วมนั้น การใช้ความเร็วต่ำเป็นเรื่องสำคัญ และเจ้าความเร็วรถยนต์ในรอบเดินเบาะ หรือที่ทางเทคนิคนั้นเรียกว่า Walking Speed ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับรถลุยน้ำท่วม การใช้ความเร้วรอบเดินเบานั้นมีข้อดีที่ความเร็วสม่ำเสมอคงที่ ทำให้แรงดันในท่อไอเสียมีความคงที ซึ่งเมื่อมีแรงดันคงที่น้ำก็จะไม่สามารถไหลย้อนเข้าไปได้ ทำให้เครื่องยนต์นั้นไม่ดับกลางทาง
บางครั้งในกรณีที่การจราจรหนาแน่นและรถเคลื่อนตัวช้ามาก พยายามใช้การเว้นระยะห่างประมาณ 1-2 ช่วงคันรถ เพื่อให้เราสามารถเคลื่อนตัวไปได้อย่างช้าๆ แต่สม่ำเสมอ ช่วยลดความเสี่ยงในการตายกลางทาง
4.คลื่นน้ำ ตัวอันตราย.. ปัญหาสำคัญของการขับรถลุยน้ำนั้นไม่ได้เกิดจากตัวน้ำ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเกิดจากเพื่อนร่วมทางทั้งคันหน้า หรือรถที่สวนมานั่นเอง คลื่นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เมื่อเราต้องขับรถลุยน้ำ แต่เราต้องพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะคลื่น ซึ่งสามารถเกิดระดับน้ำที่สูงผิดปกติ สามารถทำอันตรายต่อชิ้นส่วนเครื่องยนต์ โดยเฉพาะการเข้ากรองอากาศ ซึ่งอาจทำให้น้ำถูกดูดเข้าไปยังเครื่องยนต์นั้น นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ อีกประการคงไม่พ้น การทำอันตรายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า โดยเฉพาะ กล่องประมาลผลหลัก ที่หากเกิดการช๊อตก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าได้ตายกลางทางแถมยังมีค่าใช้จ่ายอีกบานตามมาแน่นอน
ขับรถลุยน้ำท่วม
5.เร่งเครื่องสูง..เรื่องนี้ไม่จำเป็น หลายคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการขับรถลุยน้ำว่า ต้องเร่งเครื่องสูง เพื่อทำให้น้ำไม่สามารถเข้าท่อไอเสียได้แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ทุกครั้งที่คุณขับรถโดยมีการเร่งเครื่องสูงนั้น เมื่อรอบเครื่องต่ำลงจะทำให้เกิดแรงดันที่น้อยลงในท่อเสีย ผลคือเกิดแรงต้านน้ำลงทำให้น้ำทะลักเข้าท่อไอเสียและสามารถทำให้เครื่องยนต์ดับได้
อีกข้อสำคัญนั้นก็คือการเร่งเครื่องทำให้เกิดความร้อนสะสมในเครื่องสูง แต่ด้วยเราวิ่งอยู่ในน้ำทำให้เครื่องยนต์ที่ร้อนถูกระบายความร้อนอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เครื่องยนต์บางประเภทอาจจะปรับตัวไม่ทันแบละสุดท้ายลากลับบ้านเก่า ที่ยังไม่นับระบบระบายความร้อนหม้อน้ำที่จะทำงานเมื่อความร้อนในหม้อที่ถ่ายเทจากเครื่องยนต์สูงด้วย
6.ลดการใช้เบรกในพื้นที่น้ำท่วม เราไม่ปฏิเสธว่าเบรคคือสิ่งเดียวที่ทำให้รถหยุด แต่ในการขับในพื้นที่น้ำท่วมนั้นการใช้เบรกอาจะทให้อันตรายในภายหลังได้ โดยเฉพาะอาการเบรกลื่นซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเบรกมีความชื้นสูงหรือเปียกน้ำ ดังนั้น พยายามลดการใช้เบรกในบริเวณน้ำท่วม โดยอาจจะใช้การชะลอความดร็วแทนเมื่อประกอบกับแรงต้านจากน้ำ รถของคุณจะมีเฉื่อยลงอย่างรวดร็ว แต่หากเลี่ยงไม่ได้ในภาวะการจราจรคับคั่งในพื้นที่น้ำท่วมก้ให้ใช้เบรกได้ แต่เมื่อพ้นพื้นที่น้ำท่วมให้ย้ำเบรคบ่อยๆ เพื่อไล่ความชื้น และหลีกเลี่ยงการใช้เบรกหนักๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ทั้งข้อนี้เป็นทริคในการขับขี่ผ่านพื้นที่น้ำท่วมในสภาวะการณ์ต่างๆ ทว่า ข้อสำคัญสุดนั้นคงไม่พ้นการประเมินสถานการณ์ที่ต้องรู้จักรถเราว่า ขนาดไหนที่จะไปได้ และประมาณไหนที่เราจะไม่สามารถไปได้

ที่มา Sanook.com

11 ตุลาคม 2554

ชื่อโพสต์ข้อแนะนำเกี่ยวกับไฟฟ้าในกรณีที่มีน้ำท่วมหรือน้ำท่วมขัง


เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ำท่วมทุกขณะและมีข้อแนะนำประชาชนเกี่ยวกับไฟฟ้า กรณีเกิดน้ำท่วมหรือน้ำท่วมขัง เพื่อความปลอดภัยในชีวิต ดังนี้
- ก่อนน้ำท่วมเข้าภายในบ้านหรือบริเวณบ้าน ให้รีบขนย้ายอุปกรณ์ไฟฟ้าและสิ่งของจำเป็นไว้ที่สูงหรือที่ปลอดภัยน้ำท่วมไม่ถึง
- กรณีเป็นบ้านสองชั้นและมีสวิตช์แยกแต่ละชั้น หากน้ำกำลังจะท่วมชั้นล่าง ให้ปลดสวิตช์ตัดกระแสไฟฟ้าเฉพาะชั้นล่าง
- กรณีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานและมีความจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในบ้าน ให้ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ชั้นบน โดยให้เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือช่างไฟฟ้าที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้าปลดสวิตช์ที่ชั้นล่างให้เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือช่างไฟฟ้าเพื่อแยกวงจรชั้นบนและชั้นล่าง
- กรณีบ้านชั้นเดียว ให้งดใช้ไฟฟ้าโดยเด็ดขาด งดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด รวมถึงห้ามเปิดปิดสวิตช์ไฟด้านในและด้านนอกอาคารที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะตัวเปียกหรือยืนแช่น้ำ แม้ว่าอุปกรณ์เหล่านั้นอาจอยู่เหนือระดับน้ำ เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ *** ปลั๊กไฟที่น้ำท่วมห้ามใช้งานเด็ดขาด ***
- ควรอยู่ห่างจากเสาไฟฟ้าหรือระบบจำหน่ายในพื้นที่น้ำท่วมอย่างน้อย 1 - 2 เมตร เพื่อความปลอดภัย หากพบเห็นสายไฟฟ้าขาดหรือเสาไฟฟ้าล้มหรือสายไฟฟ้าขาดแช่น้ำ อย่าเข้าใกล้หรือสัมผัส ให้รีบแจ้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในพื้นที่หรือสายด่วน กฟภ. โทร.1129 เพื่อส่งเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการแก้ไข
- พบผู้ถูกกระแสไฟฟ้าดูด อย่าใช้มือเปล่าแตะต้องตัวผู้ที่ติดอยู่กับกระแสไฟฟ้าหรือตัวนำที่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายเป็นอันขาด เพื่อป้องกันมิให้ถูกกระแสไฟฟ้าดูดจนได้รับอันตรายไปด้วย
* ใช้วัตถุที่ไม่เป็นสื่อไฟฟ้า เช่น ผ้า ไม้แห้ง เชือกแห้ง สายยางหรือพลาสติกที่แห้งสนิท ถุงมือยางหรือผ้าแห้งพันมือให้หนา แล้วผลักหรือฉุดตัวผู้ประสบอันตรายให้หลุดออกมาโดยเร็ว หรือใช้ผ้าคล้องหรือให้ผู้มีความรู้ด้านไฟฟ้าปลดสวิตช์ จากนั้น ปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาบาล
* หากเป็นสายไฟฟ้าแรงสูง ให้หลีกเลี่ยงและรีบแจ้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในพื้นที่หรือสายด่วน กฟภ. โทร.1129 โดยเร็วที่สุด
* อย่าลงไปในน้ำ กรณีมีกระแสไฟฟ้าอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง หาวัตถุที่ไม่เป็นสื่อไฟฟ้าเขี่ยสายไฟฟ้าออกให้พ้นหรือแจ้งเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการตัดกระแสไฟฟ้าก่อน จึงค่อยช่วนผู้ประสบอันตราย
*** การช่วยผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้า จำเป็นต้องกระทำด้วยความรวดเร็ว รอบคอบและระมัดระวังเป็นพิเศษ ***
สอบถามข้อมูล แจ้งเหตุไฟฟ้าขัดข้องหรือขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับไฟฟ้าได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สายด่วน กฟภ. โทร.1129 PEA Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง
ที่มาข้อมูลและภาพ :
- แผนกส่งเสริมและเผยแพร่ความปลอดภัย กองมาตรฐานความปลอดภัย ฝ่ายมาตรฐานและความปลอดภัย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

วางกระสอบทรายให้ถูกวิธี


กระสอบทราย เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมได้ แต่หากกระสอบทรายไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจส่งผลให้ปัญหาน้ำท่วมรุนแรงกว่าเดิม วันนี้ เราจึงขอนำเสนอวิธีการบรรจุทรายลงในกระสอบและการวางกระสอบทรายที่ถูกต้อง
เคนเนธ เฮลเลแวง วิศวกรจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนอร์ธ ดาโกต้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการใช้กระสอบทรายให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม โดยงานวิจัยดังกล่าวได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันด้านการเกษตรและอาหาร สังกัดกระทรวงเกษตร สหรัฐอเมริกา
งานวิจัยของเฮลเลแวงระบุว่า ขนาดของกระสอบทรายที่เหมาะสม ควรมีความกว้าง 14 นิ้ว ยาว 24-26 นิ้ว แต่ถ้าเป็นขนาดอื่นก็ใช้งานได้เช่นกัน แต่น้ำหนักที่บรรจุทรายควรอยู่ที่ 15-18 กิโลกรัม เพื่อให้สะดวกต่อการขนย้าย
ส่วนวิธีการวางกระสอบทรายนั้น ก่อนอื่นต้องสังเกตให้ดีก่อนว่า บริเวณดังกล่าวต้องไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆที่จะทำลายแนวกำแพงของกระสอบทราย และไม่ควรวางกระสอบทรายไว้ติดกับผนังตึกหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับสิ่งปลูกสร้างได้ ซึ่งวิธีที่ถูกต้อง ควรวางกระสอบทรายให้อยู่ห่างจากตึกประมาณ 2.5 เมตร เพื่อให้มีระยะห่าง เพื่อสังเกตการรั่วซึมของน้ำได้ และควรวางในลักษณะที่ขนานกันไปกับทางไหลของน้ำ
นอกจากนี้ การวางกระสอบทรายเป็นชั้นที่สูงมากกว่า 1 เมตร ควรมีขุดคูระบายน้ำลึกประมาณ 6 นิ้ว และยาวประมาณ 24 นิ้ว เพื่อช่วยเร่งระบายน้ำอีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของคันกั้นน้ำอีกด้วย
ด้านหน่วยงานทางวิศวกรรม ของกองทัพสหรัฐฯ แนะนำเพิ่มเติมว่า การวางกระสอบทรายให้ถูกต้องนั้น ความกว้างของฐานควรมีขนาดเป็น 3 เท่าของความสูง เช่น กระสอบทรายที่ถูกวางสูงขึ้นไป 4 ฟุต ควรมีฐานกว้าง 12 ฟุตเป็นต้น
ขณะที่ วิธีการในการบรรจุทรายใส่ในกระสอบทรายนั้น ควรบรรจุทรายแค่เพียงครึ่งหนึ่งของถุงเท่านั้น และควรมัดปากถุงให้ใกล้กับด้านบนถุง แต่หากบรรจุทรายเต็มถุงและมัดปากถุงสูงเกินไป จะทำให้น้ำซึมผ่านเข้ามาได้ง่าย
ส่วนวิธีการวางกระสอบทรายเป็นรูปสามเหลี่ยมนั้น ถ้าสูงไม่เกิน 1 ฟุต ไม่มีรูปแบบที่จำกัด แต่ถ้าจะวางสูงกว่านั้น ควรมีการเพิ่มความแข็งแกร่งของชั้นกระสอบทราย โดยทุกๆสูง 5 ฟุต จะต้องทำให้กระสอบทรายอยู่ติดกันมากที่สุด เช่นการขึ้นไปเหยียบและใช้มือดันเพื่อให้กระสอบทรายยึดติดกัน
และเมื่อทำนบกั้นน้ำกระสอบทรายเสร็จแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายควรมีการนำผ้าใบพลาสติกขนาดใหญ่มาคลุมปิดไว้อีกชั้น เพื่อเพิ่มความมั่นคงและป้องกันไม่ให้น้ำไหลผ่าน แต่ไม่ควรวางผ้าใบพลาสติกไว้ด้านล่างของกระสอบทราย เพราะกระสอบทรายอาจลื่นไถลลงมา เมื่อไม่สามารถทนแรงดันน้ำได้
Produced by VoiceTV
by sutthiporn