26 กันยายน 2554

5 อันดับ บริษัทที่น่าทำงานที่สุดในไทย


บริษัทที่น่าทำงานที่สุดในปี 2550 อันดับ1-5 
  
อันดับ 1 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 
สมคิด เอนกทวีผล
Positioning Magazine   มิถุนายน 2550

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่ลุ่มๆ ดอนๆ หลายปีหลัง กลุ่มธุรกิจหนึ่งเดียวที่โดดเด่นขึ้นมาทั้งกำไร การขยายธุรกิจ และระคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นจะเป็นพลังงาน ซึ่งผู้นำในไทยก็ไม่พ้น ปตท. และ ปตท.สผ. ที่นอกจากจะได้เต็มๆ จากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันแล้ว ยังกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจปิโตรเคมี และข้ามไปถือหุ้นโรงกลั่นเป็นการการันตีความมั่นคงระยะยาว

จุดวิเคราะห์ความนิยม

เมื่อผลกำไรดี บริษัทมีระบบ หนีไม่พ้นเงินเดือน โบนัส และการขึ้นเงินเดือน ย่อมจูงใจหนุ่มสาวตั้งแต่นักศึกษาจบใหม่ขึ้นไปถึงคนทำงาน ให้เดินเข้าหาบริษัทในกลุ่ม ปตท. ด้วย Positioning ในใจว่าว่าผลตอบแทนต่างๆ ต้องสมน้ำสมเนื้อกับกำไรของบริษัทแน่นอน

ส่วนในบริษัท ปตท. สผ. (สำรวจและผลิตปิโตรเลียม) นั้น แหล่งข่าวเผยว่า ฐานเงินเดือนใน ปตท.สผ. จะสูงกว่า ปตท. อยู่เล็กน้อย เพราะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาแล้วถึง 20 ปี ในขณะที่ ปตท. เพิ่งเข้าได้เพียง 3 ปี

ข้อมูลจากฝ่ายทรัพยากรบุคคลองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เผยว่าการขึ้นเงินเดือนของ ปตท. จะดูภาวะเศรษฐกิจ ภาพรวมทิศทางธุรกิจว่าดีหรือไม่ รวมถึงดูอัตราเงินเฟ้อมาประกอบ และมองว่าการขึ้นเงินเดือนเป็นเครื่องมือการบริหาร เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ แต่ระยะยาวจะกลายเป็นต้นทุน การจ่ายค่าตอบแทนจะเทียบกับข้อมูลธุรกิจใกล้เคียง

ที่ผ่านมา ปตท. ขึ้นเงินเดือน 4-10% แนวโน้มช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทขึ้นเงินเดือนโดยเฉลี่ยแล้ว 5.4-5.9% ทุกปี ปตท. ในยุคเก่าที่ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นเงินเดือนค่อนข้างน้อย แต่โบนัสมาก ส่วนหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ฐานเงินเดือนเริ่มปรับขึ้น และจ่ายโบนัส 4-5 เดือน ส่วนหนึ่งดูผันแปรขึ้นกับประสิทธิภาพของแต่ละหน่วยงานหรือบุคคล

แต่ทั้งนี้ทุกปีจะต้องทบทวนเรื่องนโยบายผลตอบแทนเสมอ เพราะยังมีข้อผูกมัดกับกระทรวงการคลังผู้ถือหุ้นใหญ่ว่าจะต้องถูกวัด Corporate Governance และผลปฏิบัติงานของบริษัท (Performance)

เกณฑ์การพิจารณาเบื้องต้น

ผู้สมัครที่จบปริญญาตรีสาขาอื่นๆ นอกจากวิศวกรรมศาสตร์ จะต้องมีคะแนนภาษาอังกฤษ TOEIC หรือ TOEFL (ปตท. จะเทียบเป็น TOEIC ให้) 550 คะแนนขึ้นไป (อายุไม่เกิน 2 ปี) และมีเกรดเฉลี่ยสะสมจาก
- สถาบันของรัฐ 2.70 ขึ้นไป
- มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ 2.70 ขึ้นไป
- สถาบันเอกชน 3.00 ขึ้นไป
ผู้สมัครระดับปริญญาโทหรือเอกก็ต้องมีผลคะแนนในระดับก่อนนั้นเข้าเกณฑ์ข้างต้นด้วย
ผู้สมัครที่ผ่านเกณฑ์นี้จึงจะมีสิทธิถูกเรียกสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ต่อไป

ช่องทางการสมัครงาน
- สมัครงานด้วยตนเอง
- สมัครงานออนไลน์ www.pttplc.com, www.pttep.com 
 
อันดับ 2 บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) 
สุกรี แมนชัยนิมิต
Positioning Magazine   มิถุนายน 2550

จุดวิเคราะห์ความนิยม

หากเลือกได้คุณจะทำงานในบริษัทแบบไหน แน่นอนคนจำนวนมากขอความมั่นคง ผลตอบแทนคุ้มค่า นอกเหนือจากความท้าทายในเนื้องาน ซึ่งคำตอบสำหรับหลายคนอยู่ที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG บริษัทที่ได้รับการโหวตน่าทำงานในอันดับ 2

แม้จะเติบโตในแง่ผลประกอบการอย่างน้อยปีละประมาณ 10% กำไรปี 2549 เกือบ 30,000 ล้านบาท แต่เครือปูนฯ ก็ยังคงไม่หยุดนิ่ง ในการสร้างเสน่ห์ดึงดูดคนเข้าทำงาน จนสามารถเลือกสรรคนคุณภาพเข้าไปช่วยสร้างบริษัทในเครือปูนฯจำนวนมาก ความเปลี่ยนแปลงของบริษัทในเครือปูนฯ ยังเห็นได้ชัดเจนจากการเริ่มมีพนักงาน และผู้บริหารที่จบจากสถาบันต่างๆ มากขึ้น จากเดิมมักจะมีผู้ที่จบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในสัดส่วนที่มากกว่ามหาวิทยาลัยอื่น ไอเดียของกรรมการผู้จัดการใหญ่ “กานต์ ฮุนตระกูล” ล่าสุด ยังสร้างความกระฉับกระเฉงให้กับกลุ่มปูนฯ มากขึ้น ด้วยแผนรีแบรนด์ให้เป็น “องค์กรแห่งนวัตกรรม” หรือ Innovation ด้วยแคมเปญที่ทำอยู่ คือ Innovation Change for Better Tomorrow ทั้งในด้านการปรับแผนธุรกิจให้คล่องตัวทันสมัย และการพัฒนาบุคคลากร และการตั้งเป้าเพิ่มพนักงานระดับปริญญาเอกมากขึ้น

เกณฑ์การเลือกพนักงาน

การคัดเลือกพนักงานบริษัทในเครือปูนฯ จะมีเกณฑ์พิจารณาเรื่องความสามารถ การศึกษา และคุณธรรม จริยธรรม วิธีการเริ่มต้นคือการจัดโครงการเข้าไปคัดสรรนิสิต-นักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีทุกมหาวิทยาลัยของไทย ในโครงการ “Drawing Your Career with SCG Career Camp” ส่วนระดับปริญญาโทจะสรรหาจากผู้สำเร็จการศึกษาด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำ 10 อันดับทั้งในยุโรปและอเมริกา

คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้สมัครได้กำหนดไว้ว่า หากจบปริญญาตรี ต้องมีเกรดเฉลี่ย (GPA) ไม่ต่ำกว่า 2.75 ปริญญาโท 3.3 การวัดระดับด้านภาษาอังกฤษต้องได้ TOEIC (Test of English for International Communication) 550 คะแนน

ผลตอบแทน อัตราเงินเดือน
ปริญญาตรีจบใหม่ เริ่มต้น 19,000-22,000 บาท หากจบสายวิศวฯ เพิ่มอีก 3,000 บาท ปริญญาโท 22,000-25,000 บาท หากจบด้านวิศวฯ ได้เพิ่มอีก 5,000 บาท

การขึ้นเงินเดือน
*เฉลี่ยปีละ 6%
โบนัส
* ค่าเฉลี่ยโบนัสปี 2549 ประมาณ 4-6 เดือน
สวัสดิการที่น่าสนใจ
- ค่ารักษาพยาบาลทั้งกรณีเป็นผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก สำหรับพนักงาน ภรรยา และบุตร
- เบิกค่ารักษาฟัน
- พื้นที่ออกกำลัง ที่สำนักงานใหญ่ เช่น โรงยิม ฟิตเนส
-วันลาหยุดพักร้อน เฉลี่ยปีละ 8-21 วัน ขึ้นอยู่กับอายุงาน และสามารถสะสมวันหยุดได้สำหรับปีถัดไป หากใช้สิทธิ์หยุดไม่ครบกำหนดเมื่อลาออกจะได้เงินตอบแทนหลังจากเกษียณ
-วันลาคลอด ได้สิทธิ์ลาได้ 3 เดือน หรือ 90 วัน หากมาทำงานก่อน เช่นลาเพียง 2 เดือนจะได้เงินผลตอบแทนพิเศษที่มาทำงานก่อนเวลา ในอัตราเงิน 5 หลัก
 
อันดับ 3 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) 
อรรถสิทธิ์ เหมือนมาตย์
Positioning Magazine   มิถุนายน 2550

จุดวิเคราะห์ความนิยม

มีการเปรียบเปรยถึงองค์กรแห่งนี้ว่า… บินไปฮ่องกงถูกกว่านั่งรถทัวร์ไปเชียงใหม่...ยิ่งอยู่นานยิ่งได้สวัสดิการดี...ต้องการความมั่นคงในหน้าที่การงาน ...บริษัทมีชื่อเสียงในระดับแถวหน้าของประเทศไทย...ถ้าเป็นนักบินหรือ Cabin Attendant ได้บินต่างประเทศบ่อย ก็หิ้วของมาขาย...รายได้งาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เร้าความสนใจของนิสิตนักศึกษาจบใหม่ ตลอดจนบัณฑิต มหาบัณฑิตที่ต้องการหางานใหม่ ถึงแม้จะมีข่าวคราวคอรัปชั่นกระเส็นกระสายออกมาเป็นระยะ แต่สำหรับรัฐวิสาหกิจรายใหญ่ของไทยที่ชื่อว่า “บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)” ยังคงเนื้อหอมเสมอ

เงินเดือน : จบปริญญาตรีเริ่มต้นที่ประมาณ 8,000 บาทต่อเดือน

สวัสดิการ :
1. การบินไทยมีผลตอบแทนรวมแก่บุคลากรกว่า 25,000 คน (เงินเดือน ค่าครองชีพ เงินรางวัลประจำปี เบี้ยเลี้ยงเดินทาง เงินค่าล่วงเวลา ค่าใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ) เฉลี่ยปีละกว่า 30,000 ล้านบาท
2. ศูนย์สวัสดิการฟิตเนส สระว่ายน้ำ
3. ขอตั๋วฟรีแบบสำรองที่นั่งไม่ได้ให้แก่ตัวเอง คู่สมรสและบุตรได้ โดยสามารถขอตั๋วในประเทศและต่างประเทศอย่างละ 1 เที่ยว (ไป-กลับ)
4. ซื้อตั๋วแบบสำรองที่นั่งไม่ได้ในราคาถูก 10% ของราคาตั๋วปกติ แก่ตัวเอง คู่สมรสและบุตรได้ และหากอายุการทำงานเกิน 15 ปี จะสามารถขอตั๋วฟรีประเภทสำรองที่นั่งได้อีก 1 เที่ยว
5. พนักงานที่ทำงานครบ 1 ปีขอตั๋วฟรีได้ทุกเส้นทางที่บริษัททำการบิน

ถึงแม้จะมีเสียงบ่นจากพนักงานว่าสวัสดิการของการบินไทยด้อยกว่ารัฐวิสาหกิจทุกแห่งก็ตาม แต่ที่นี่ก็ยังมีคนใจจดใจจ่อที่จะเข้ามาอยู่ภายใต้ร่มจำปี หลังจากได้รับทราบถึงตัวอย่างสวัสดิการคร่าวๆ ของบริษัทนี้

โบนัส : 3-4 เดือนต่อปี

ชั่วโมงการทำงาน : พนักงานตำแหน่งทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานเป็นกะ มี Office Hour 08.00-17.00 น. ทำงานวันจันทร์ - ศุกร์ วันหยุดตามประเพณี 17 วันต่อปี ลาป่วยได้ไม่เกินปีงบประมาณละ 120 วัน (30 วันแรก จ่ายเงินเดือนเต็ม จากนั้นจ่ายครึ่งหนึ่ง ยกเว้นป่วยเพราะอุบัติเหตุจากการทำงานให้บริษัทฯ) พนักงานอายุ 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 5 ปี ลาหยุดพักผ่อนได้ 12 วันต่อปี และ 5 ปีขึ้นไปลา หยุดพักผ่อนได้ 18-28 วันต่อปี

ตำแหน่งฮอต : เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ การบินไทยมีหลายหน่วยงานรับผิดชอบหลายหน่วยงาน อาทิ THAI Maintenance, THAI Cargo, THAI Catering, THAI Shop แต่ตำแหน่งหน้าที่ที่ฮอตที่สุดที่หลายคนใฝ่ฝันก็คือ นักบิน แอร์โฮสเตท และสจ๊วต ล่าสุดกับตำแหน่ง Crew รุ่น TG2007 มีผู้สมัครเกือบ 4,000 คน รับเพียง 377 คน เท่านั้น เพราะได้แต่งตัวสวย หล่อกันแล้ว แม้จะได้เงินเดือนเมื่อแรกเริ่มทำงานเพียง 8,000 บาท แต่ได้ค่าเพอร์เดียมเป็นเงินสดในแต่ละไฟล์ทซึ่งเมื่อรวมรายได้ต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 40,000-60,000 บาท แล้วแต่รอบและเส้นทางการบิน รวมถึงการได้เดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก (ในระยะยาว) ขณะที่นักบินเพียงแค่เริ่มต้นเป็น Co-pilot ก็ได้รายได้เป็นหลักแสน

อื่นๆ : มีสหภาพแรงงานของพนักงานและแรงงานสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง โดยบุคลากรกว่า 30% เป็นสมาชิกสหภาพฯ นี้
 
อันดับ 4 บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) 
วัฒนะชัย ยะนินทร
Positioning Magazine   มิถุนายน 2550

ที่ทำการ หรืออาณาจักรแห่งใหม่ของบริษัท เวิร์คพอยท์ ย่านปทุมธานี มูลค่า 400 ล้านบาท มีสตูดิโอผลิตรายการทีวีระดับมาตรฐานอยู่ถึง 14 ห้อง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกจุดหนึ่งที่ทำให้องค์กรแห่งนี้ดูน่าสนใจยิ่งนัก กับภาพลักษณ์ของความทันสมัย และก้าวหน้าในธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์

จุดวิเคราะห์ความนิยม

นอกจากความเป็นองค์กรมหาชนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เวิร์คพอยท์ ถือเป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่ในวงการผลิตรายการทีวีแนวเอนเตอร์เทนเมนต์ที่ครอบครองพื้นที่รายการบันเทิงมากที่สุด เกือบ 1,200 ต่อปี และมีหัวเรือสำคัญ อย่าง ปัญญา นิรันดร์กุล และ ประภาส ชลศรานนท์ ผู้เป็นตัวอย่างของนักคิด นักสร้างสรรค์ ทำให้เป็นประเด็นสำคัญของการอยากเข้าทำงานในองค์กรนี้

ขณะเดียวกัน เวิร์คพอยท์ในปัจจุบันได้ขยายกลุ่มธุรกิจออกเป็น 6 บริษัทย่อย ด้านสื่อบันเทิง ทั้งผลิตรายการทีวี ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ผลิตภาพยนตร์ ทำให้หลายคนที่เข้าไปในองค์แห่งนี้มีโอกาสทำงานได้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่จบด้านที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรายการทีวี

เกณฑ์การคัดเลือกพนักงาน

ปัจจุบันบริษัทเวิร์คพอยท์รับบุคลากรใหม่จำนวนมากเเพื่อรองรับกับสถานที่ทำงานแห่งใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มงานผลิตรายการ ทั้งครีเอทีพ คอมพิวเตอร์กราฟิก ฝ่ายศิลป์ ฝ่าย Costume ประสานรายการ ขณะที่ฝ่ายบริหารจัดการ มีรับหลายอัตราเช่นกัน เช่น Web Designer พนักงานขายโฆษณา ประชาสัมพันธ์ เป็นต้น แต่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ตำแหน่งที่รับสมัคร เวิร์คพอยท์มักจะเลือกคนทำงานที่มีประสบการณ์ในระดับที่เชี่ยวชาญพอตัวในแต่ละด้าน มักจะไม่ค่อยรับคนจบใหม่ หากอยากเข้าที่นี่จริงๆ ควรจะเข้าไปสมัครด้วยตัวเอง จะมีโอกาสในการเรียกสัมภาษณ์มากกว่า

ผลตอบแทน

เงินเดือนและผลตอบแทนไม่ใช่เป็นจุดที่โดดเด่นขององค์กร อยู่ในระดับพื้นฐานเงินเดือนทั่วไปของผู้จบปริญญาตรี แต่ที่นี่หากทำงานดีเข้าตากรรมการ มักจะให้ผลตอบแทนในการให้หุ้นบริษัท ซึ่งกลยุทธ์ของการให้พนักงานมีส่วนร่วมในองค์กรเหมือนเป็นเจ้าของร่วม
 
อันดับ 5 บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด 
โตโยต้า ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากแดนปลาดิบ ซึ่งเข้ามาลงหลักปักฐานการลงทุนในประเทศไทยนานกว่า 40 ปี ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 7,520 ล้านบาท กำลังการผลิตทั้งสิ้น 240,000 คันต่อปี พนักงานบริษัทกว่า 5,000 คน เครือข่ายผู้แทนจำหน่าย 112 แห่ง 272 โชว์รูม ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย

จุดวิเคราะห์ความนิยม

ด้วยความเป็นบริษัทธุรกิจรถยนต์หมายเลขหนึ่งของประเทศไทย ทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรแห่งนี้มีน้ำหนักในเรื่องมั่นคงและความก้าวหน้าในอาชีพสูง แต่จุดสนใจสำคัญ คือ เรื่องของผลตอบแทนทั้งในรูปของเงินเดือน โบนัส และสวัสดิการ โตโยต้า ถือเป็นองค์กรที่ติดอันดับแถวหน้าของเมืองไทย ที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก โดยเฉพาะโบนัส ที่มีสำรวจทุกๆ ปี ครองแชมป์สูงสุดในกลุ่มธุรกิจยานยนต์มาตลอด ขณะเดียวกันสวัสดิการของโตโยต้าที่ให้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสนับสนุนการศึกษาต่อ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรแห่งนี้ได้กลายเป็นองค์กรในฝัน และได้รับการโหวตอยู่ 1 ใน 10 อันดับที่น่าทำงานที่สุด

เกณฑ์การคัดเลือกพนักงาน

โตโยต้า มักถูกเปรียบเปรยว่าเป็นองค์กร “สุดเขี้ยว” แห่งหนึ่งของการเข้าสมัครเข้าทำงาน เพราะนอกจากจะเน้นรับบุคลากรที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือโท ซึ่งมี GPA หรือเกรดเฉลี่ย 2.7 ขึ้นไป และทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษผ่าน (เกณฑ์ TOEIC รวม 550 ขึ้นไป หรือเทียบเท่า) องค์กรแห่งนี้เน้นภาษาอังกฤษอย่างมาก และผู้ที่สมัครเข้าทำงานจะต้องสอบข้อเขียนและ ผ่านการสัมภาษณ์ถึง 5 ด่าน เพื่อจะได้เป็นพนักงานใหม่ ว่ากันว่า ถ้าใครไม่จบมหาวิทยาลัยเมืองนอก หรือจากจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ รวมทั้งไม่ใช่นักศึกษาดีกรีเกียรตินิยม ย่อมมีโอกาสเข้ายากมาก

เงินเดือน

ผลตอบแทนจะขึ้นอยู่ตามแผนกหรือสายงาน โดยเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีด้านวิศวกรรม เริ่มต้นที่ 14,000-15,000 บาท ส่วนแผนกอื่นจะเริ่มต้นที่อยู่จะ 8,000-10,000 บาท การขึ้นเงินเดือนจะขึ้นอยู่ตามผลงาน

โบนัส

นับเป็นองค์กรที่จ่ายโบนัสสูงมาก ค่าเฉลี่ยแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 6-8 เดือน ตามผลประกอบการธุรกิจในแต่ละปี ยิ่งพนักงานประจำคนใดทำงานเกินสองปีขึ้นไป เรียกว่า นอกเงินเดือนที่ได้รับประจำแล้ว ค่าโอที หรือล่วงเวลา ยังได้โบนัสที่จะแบ่งจ่าย 2 งวด ครึ่งปี

สวัสดิการ

โตโยต้า ถือเป็นองค์หนึ่งที่มีความโดดเด่นด้านสวัสดิการอย่างยิ่ง โดยพนักงานโตโยต้าสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ 100% มีประกันชีวิตกลุ่ม เงินบำเหน็จ เครื่องแบบพนักงาน รถรับ-ส่งปรับอากาศบริการพนักงาน เงินกู้ซื้อบ้านและเงินกู้ฉุกเฉิน ส่วนลดพิเศษในการซื้อรถยนต์โตโยต้า อะไหล่ และบริการ ทุนการศึกษาบุตร เงินสนับสนุนการศึกษานอกเวลาทำงาน ฯลฯ 

24 กันยายน 2554

คนระดับผู้จัดการมีสมองใหญ่กว่าคนทั่วไป



            ทีมนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลล์ได้ทำการตรวจวัดขนาดสมองส่วน Hippocampus ในกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุระหว่าง 75 ถึง 92ปีผลปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่างที่เคยมีประสบการณ์ทางด้านการจัดการ
มีขนาด Hippocampus ใหญ่กว่าคนที่ไม่เคยทำงานในด้านนี้ นอกจากนั้นพวกเขายังพบอีกว่า ยิ่งคนนั้นมี           (หรือเคยมี) ลูกน้องในความรับผิดชอบมากเท่าไร ปริมาตรของ Hippocampus ก็มากขึ้นตามไปด้วย

รูปแบบความสัมพันธ์ของขนาด Hippocampus และประสบการณ์งานจัดการสามารถพบได้ในกลุ่มตัวอย่างทั้งผู้ชายและผู้หญิง และก็ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะงานสาขาการจัดการโดยตรงเท่านั้น งานในสาขาอาชีพอื่นๆ ที่ต้องใช้ทักษะในการจัดการก็ส่งผลต่อขนาด Hippocampus เช่นกัน

Hippocampus เป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ เป็นไปได้ว่าการจัดการคนน่าเป็นงานที่กระตุ้นกลไกอะไรสักอย่างให้สมองมีการปรับตัวในเชิงกายภาพ เพราะสภาพงานการจัดการก็เป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถหลายด้าน เช่น การแก้ปัญหา ความจำระยะสั้น ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นต้น

22 กันยายน 2554

เคยเห็นกันมั๊ย ลำโพงแบบ"สั่น"


  
 
ลำโพงสุุดเท่ห์ นำเข้าจากเกาหลี   
เพื่อนๆเคยเห็นกันมั๊ยอะ อุปกรณ์ที่เปลี่ยนทุกสิ่งเป็นลำโพงได้แค่แปะเท่านั้น!! โดยแปะกับวัตถุอะไรก็ได้ที่ต้องการให้มีเสียงเพลง (i-capsule: Protable Vibration Speaker) ลำโพงแบบพกพาระบบสั่นสะเทือน เห็นเป็นแท่งแบบนี้อย่าเอาไปใช้แทนยาดมนะคร๊าฟ

21 กันยายน 2554

Syrena แห่ง Pirate 4 เธอเป็นใคร?


Astrid Berges-Frisbey   รับบท "Syrena"

นางเงือกสาวแห่ง Whitecap Bay

ในหนัง  Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides






ใน Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides (ไพเรท ออฟ เดอะ คาริบเบียน ผจญภัยล่าสายน้ำอมฤตสุดขอบโลก)บทที่โดเด่นบทหนึ่งก็คือ “ไซเรนา” นางเงือกสาวผู้กุมปริศนาแห่งน้ำพุอมตะ แม้ว่านางเงือกเรื่องนี้ดูจะแตกต่างจากหลายๆเรื่องที่เราคุ้นเคย แต่ขึ้นเชื่อว่านางเงือกแล้วก็ต้องเซ็กซี่ไม่เป็นรองใคร
“แอสทริด เบอร์เจส-ฟริสบี” Astrid Berges-Frisbey รับบท เงือกสาวไซเรนา (Syrena) ใน “Pirates of the Caribbean:On Stranger Tides”
ไซเรนา(Syrena) เงือกสาวลึกลับ แห่ง Whitecap Bay ผู้ว่ายน้ำทวนกระแสความต้องการของพี่น้องแห่งท้องทะเล ที่ต่อไปจะผูกใจรักกับ ฟิลิป สวิฟท์( Philip Swift (แซม คลาฟลิน SAM CLAFLIN) มิสชันนารี ผู้กล้าหาญ ปราศจากความกลัวและมองโลกอย่างอุดมคติ กล้าท้าทายแม้กระทั่งโจรสลัดเคราดำ (Blackbeard แห่งเรือควีนแอนส์ รีเวนจ์“Queen Anne’s Revenge” ที่แสดงโดย IAN McSHANE) ในความพยายามที่จะช่วยกอบกู้จิตวิญญาณของโจรสลัดวายร้ายผู้นี้


นางเงือกในเรื่องนี้แตกต่างจากยรรดาเงือกที่เราเคยเห็นมาในทุกเรื่อง ความลึกลับห้อมล้อมนางเงือกสาวไซเรนา แม้กระทั่งชื่อของเธอก็ด้วย เพราะ “ไซเรนา” เป็นเพียงชื่อที่มิสชันนารีฟิลิป สวิฟท์ใช้เรียกเธอระหว่างที่เธอถูกโจรสลัดเคราดำจับตัวไป หลังจากที่เพื่อนนางเงือกของเธอโจมตีลูกเรือของเคราดำที่ไวท์แคป เบย์ ไซเรนาและฟิลิปก็เริ่มตระหนักถึงคุณสมบัติที่ดึงดูดพวกเขาเข้าหากัน ทั้งสองได้เรียนรู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองมากขึ้น แต่ต่างก็ต้องเสี่ยงชีวิตเมื่อพวกเขาฟังเสียงเรียกร้องของหัวใจ
“แอสทริด เบอร์เจส-ฟริสบี” Astrid Berges-Frisbey เป็นนักแสดงสาวลูกครึ่งพ่อเธอเป็นคนสเปน แม่เธอเป็นฝรั่งเศสอเมริกัน เกิด26 พค.1986 ในเมืองบาร์เซโลน่า สเปน มีผลงานทั้งเดินแบบ ถ่ายแฟชั่น หนังทีวีและภาพยนตร์ในฝรั่งเศสหลายเรื่องอย่าง Un barrage contre le Pacifique (2008) La première étoile (2009) La reine morte (TV 2009) สำหรับ “Pirates of the Caribbean:On Stranger Tides” ถือเป็นหนังอเมริกันเรื่องแรกของเธอ


แอสทริด เบอร์เจส-ฟริสบี ยังเป็นเพียงเด็กสาวในตอนที่เธอได้ดู The Curse of the Black Pearl ภาคแรกของแฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ซึ่ง จอห์นนี่ เดปป์ ได้เปิดตัวในบท กัปตัน แจ็ค สแปร์โรว์ ตัวละครที่ติดตรึงในใจผู้ชมเป็นครั้งแรก
เวลาผ่านไป 8 ปี นักแสดงสาวเชื้อสายฝรั่งเศส / สเปน รู้สึกยินดีอย่างยิ่งเมื่อเธอได้มาเป็นส่วนหนึ่งของ แฟรนไชส์สุดฮิตระดับโลก ในบท “ไซเรนา” นางเงือกสาวผู้กุมปริศนาแห่งน้ำพุอมตะ ใน Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides (ไพเรท ออฟ เดอะ คาริบเบียน ผจญภัยล่าสายน้ำอมฤตสุดขอบโลก)
“ตอนที่ฉันได้ดูหนังเรื่องนั้นกับครอบครัวในบาร์เซโลนา ฉันเพิ่งอายุได้ 15 หรือ 16 ปี ฉันชอบหนังเรื่องนี้มากๆค่ะ มันสนุกมากและแน่นอนว่าจอห์นนี่ก็วิเศษที่สุดเท่าที่ฉันเห็นนักแสดงชายคนไหนมา แล้วต่อมาฉันได้ดูหนังเรื่องนี้ทุกภาคเลยค่ะ หลังจากนั้น 8 ปี โอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตก็มาถึง ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันไปทดสอบบทที่ไพน์วู้ด แล้วได้เห็นห้องเสื้อผ้าที่ในนั้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้าของ จอห์นนี่ เดปป์ วิกที่เขาใส่ ทุกอย่างเลย ฉันคิดเลยว่า ‘ว้าว! นั่น กัปตัน แจ็ค สแปร์โรว์นี่ ! ’ จนตอนที่ฉันเดินทางไปฮาวายเพื่อเริ่มถ่ายทำไพเรทนั่นแหละค่ะ ฉันถึงเริ่มรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แล้วทันใดนั้นเอง ฉันก็รู้ซึ้งถึงความหมายของการได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังที่เป็นเหมือนมหากาพย์อย่าง Pirates of the Caribbean มันเหลือเชื่อมากและฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยค่ะ”
แม้ว่าเธอจะใช้เวลากว่าสองเดือนในฮาวาย แอสทริด แบร์เจ-ฟริสเบกลับไม่ได้รับอนุญาตให้สนุกท่ามกลางแสงอาทิตย์ในช่วงวันหยุด…ด้วยความที่เธอรับบทนางเงือก ไซเรนา เธอก็เลยจำเป็นต้องรักษาผิวให้ขาวเข้าไว้
ความทึ่งในการได้ร่วมงานกับกองถ่ายฟอร์มยักษ์ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดและเธอก็สารภาพว่า มีหลายครั้งที่เธอไม่อยากจะเชื่อว่า.....เธอได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆ




20 กันยายน 2554

เปรียบมวย Flash vs HTML5 วัดกันจะๆ ด้วยวิดีโอเดียวกันบน YouTube



ประเด็นการถกเถียงเรื่อง "Flash กินซีพียู HTML5 ดีกว่า" ยังไม่จบไม่สิ้น คราวก่อน Adobe ขอเถียง "Flash ไม่ได้กินแรงซีพียูมากกว่า" แต่อาจมีสาวกบางค่ายเถียงว่า "เบนช์มาร์คไม่เป็นกลาง" (ฮา) คราวนี้ลองมาดูเบนช์มาร์คจากผู้ทดสอบอิสระ ที่ทดสอบด้วยวิดีโอเดียวกันบน YouTube ให้รู้กันไปเลย
ผู้ทดสอบคือคุณ Jan Ozer ใช้วิดีโอ Rosie tackles the new HP Z800 บน YouTube ซึ่งมีทั้งเวอร์ชันที่เป็น Flash และ HTML5 (ใช้ codec H.264) โดยทดสอบบนเบราว์เซอร์ 4 ตัวคือ Safari, Chrome, Firefox, IE ทั้งบนแมคและวินโดวส์ ในกรณีของ Flash นั้นใช้ทั้ง Flash Player 10.0 และ 10.1
การทดสอบครั้งนี้เขาดูอัตราการใช้งานซีพียูระหว่างเล่นวิดีโอ ใช้คอมพิวเตอร์อีกเครื่องเป็นตัววัด และวัดทั้งหมด 29 ครั้งตลอดการเล่นวิดีโอ จากนั้นจึงนำมาหาค่าเฉลี่ย อ่านวิธีการทดสอบอย่างละเอียดได้จากลิงก์ที่มา
เนื่องจาก YouTube ภาค HTML5 ใช้ codec H.264 ซึ่งมีแค่ Safari กับ Chrome เท่านั้นที่รองรับ (จริงๆ แล้วเฉพาะ Safari รุ่นบนแมคด้วย)
ผลการทดสอบบนแมค
  • Safari/HTML5 - กินซีพียู 12.39%
  • Safari/Flash 10.1 - กิน 32.07%
  • Chrome/HTML5 - กิน 49.89%
  • Chrome/Flash 10.1 - กิน 49.79%
  • Firefox/Flash 10.1 - กิน 42.07%
สรุปว่า Chrome บนแมคนั้นยังมีปัญหาด้านประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะใช้อะไรเล่นวิดีโอ ส่วนเบราว์เซอร์ที่ดีที่สุดคือ Safari โดยเฉพาะเล่น HTML5 กินซีพียูเพียง 12.39% เท่านั้น
บน Safari นั้นเห็นชัดเจนว่า วิดีโอตัวเดียวกัน ใช้ HTML5 เล่นแล้วดีกว่าเกือบสามเท่าตัว ในขณะที่ Chrome แทบไม่ต่างกันระหว่างเทคโนโลยีสองตัว
ผมไม่ได้ลงตัวเลขของ Flash 10.0 ด้วย ตามไปอ่านกันเอง แต่บน Safari นั้น Flash 10.1 ดีกว่า 14% ในขณะที่บน Firefox กลับแย่กว่าเดิม 5%
คนของ Adobe ให้ความเห็นว่า Flash 10.1 บน Safari นั้นใช้ Core Animation ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้น ในขณะที่ Firefox นั้นแย่ลง เพราะ Flash ใช้ Quartz 2D แทน QuickDraw เดิมในการวาดหน้าจอ อาจแปลว่าระบบใหม่ยังไม่เข้าที่มากนัก
ผลการทดสอบบนวินโดวส์
  • Safari/HTML5 - เล่นไม่ได้
  • Safari/Flash 10.1 - กิน 7.43%
  • Chrome/HTML5 - กิน 25.66%
  • Chrome/Flash 10.1 - กิน 10.73%
  • Firefox/Flash 10.1 - กิน 6%
  • IE/Flash 10.1 - กิน 14.62%
บนวินโดวส์นั้น Flash 10.1 ดีกว่า Flash 10.0 มากบนทุกเบราว์เซอร์ กรณีของ Firefox นั้นประสิทธิภาพดีขึ้นถึง 73% (เดิมกินซีพียู 22% ลงมาเหลือ 6%)
ส่วนการเทียบ HTML5 vs Flash ทำได้บน Chrome เพียงตัวเดียวเท่านั้น ผลกลับกับบนแมค เพราะ Flash 10.1 บน Chrome ได้ประสิทธิภาพดีกว่า HTML5 บน Chrome ถึง 1.5 เท่า
คนของ Adobe อธิบายว่า การที่ Flash 10.1 บนวินโดวส์มีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน เป็นเพราะว่า Flash รุ่นวินโดวส์สามารถใช้ GPU ช่วยเร่งประสิทธิภาพได้ ในขณะที่บนแมคยังทำไม่ได้ เพราะแอปเปิลไม่อนุญาตให้ Adobe เข้าถึงความสามารถนี้
สรุปว่า
  • Flash กับ HTML5 ยังผลัดกันแพ้ชนะ
  • HTML5 ยังมีปัญหาเรื่อง codec ที่ไม่จบง่ายๆ และถ้าไม่แก้ มันจะเล่นไม่ได้บนทุกเบราว์เซอร์ กลายเป็นจุดอ่อน
  • Flash 10.1 บนวินโดวส์ดีกว่า 10.0 มาก ออกเมื่อไร ควรรีบอัพเกรดโดยด่วน
  • Flash 10.1 บนแมค ยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะการเมืองของแอปเปิลกับ Adobe

18 กันยายน 2554

iPhone 5 ส่งสัญญาณใกล้วางขายหลัง iPhone 4 ลดราคากระจาย! ::


:: iOS: iPhone 5 ส่งสัญญาณใกล้วางขายหลัง iPhone 4 ขาดตลาดแถมลดราคากระจาย! ::

iPhone 5 เริ่มมีเค้าลางที่บอกว่า Apple เตรียมที่จะเปิดตัวและวางจำหน่ายในเร็ววันนี้แล้วหลังจากที่ Apple Online Store ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เริ่มปรับลดเวลาส่งสินค้า iPhone 4 จากเดิมภายใน 24 ชั่วโมงมาเป็น 1-3 วันแทนแล้ว ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า Apple กำลังอยู่ในระหว่างโละสต็อคสินค้า iPhone 4 ที่เริ่มเหลืออยู่น้อยให้กับ iPhone 5 แล้วก็เป็นได้
สำหรับเหตุการณ์ในลักษณะนี้ถือว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับ Apple เป็นครั้งแรกแต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ MacBook Pro เองก็เคยเกิดเหตุการณ์ปรับเวลาส่งสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 3-5 วันก่อนหน้าที่ MacBook Pro รุ่นใหม่จะออกวางจำหน่ายเพียงไม่นานเช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกันในฝั่งของประเทศไทยบ้านเราเองก็เริ่มได้รับผลกระทบจากกระแสข่าวลือ iPhone 5 ไม่น้อยหน้าเมืองนอกเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้ทำการสำรวจแหล่งวางขายสมาร์ตโฟนแห่งสยาม ประเทศอย่างศูนย์การค้ามาบุญครองก่อนหน้าที่ iPhone 5 จะเปิดตัวในเร็ววันนี้และพบว่าร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายหลายรายเริ่มปรับลดราคาขายของ iPhone 4 รุ่นปัจจุบันลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีโอกาสที่ iPhone 4 จะลดราคาลงมาเหลือเพียง 16,000 บาทเท่านั้นทันทีที่ Apple เริ่มนำ iPhone 5 วางขายอย่างเป็นทางการอีกด้วย

สำหรับรายละเอียดแบบเต็มๆเกี่ยวกับเรื่องการปรับลดราคาของ iPhone 4 ในห้างมาบุญครองนั้นผมขอหยิบยกเอาส่วนหนึ่งของบทความ สำรวจร้านดังมาบุญครอง จับกระแสก่อนเปิดตัว iPhone 5 ราคา iPhone 4 รูดลงทุกวัน โดยคุณศรางกูล พูลทวี จากเว็บไซต์มติชนออนไลน์มาให้อ่านกันด้านล่างนี้เลยดีกว่าครับ

มติชนออนไลน์ สำรวจ ตลาดมือถือยอดนิยม ศูนย์การค้ามาบุญครอง ก่อน iPhone  5 จะเปิดตัวในเร็ววัน

นายอำนวย แกะสุวรรณ พนักงานขายร้าน A.O.B mobile เผยว่า ราคา iPhone 4 ปรับลงเกือบทุกวัน ลดลงประมาณ 100-200 บาทต่อวัน ตั้งแต่ที่มีข่าวออกมา เกี่ยวกับ iPhone ตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งตอนนี้ทางร้านไม่ได้รับสินค้าเพิ่มแล้ว เพียงแต่ขายของในสต๊อกให้หมดก่อน เกรงว่า ถ้ารับของมาขายในตอนนี้ อาจจะทำให้ขาดทุนได้ เพราะราคา iPhone 4 ปรับลดลงทุกวันและคาดว่า ราคาอาจจะลดลงไปถึง 3,000-5,000 บาท ก็เป็นไปได้

พนักงานร้าน A.O.B mobile ให้ข้อมูลอีกว่า ราคาขาย iPhone 4 (16GB) ในตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 19,900 บาท(ราคาเครื่องหิ้ว) ซึ่งราคาเดิมอยู่ที่ 23,000 บาท และคาดว่า หาก iPhone 5 เข้ามา ราคาอาจจะลดเหลือเพียงแค่ 16,000 บาทเท่านั้น



อย่างไรก็ตามยอดขาย iPhone 4 ของร้านเราในตอนนี้จำนวนการขายยังคงที่ เพียงแต่ต้องปรับราคาลดลงเพื่อดึงดูดลูกค้า เพราะตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะรอซื้อ iPhone 5 กันทั้งนั้น



ขณะที่ นายส่งศักดิ์ จรรยาวุฒิกุล เจ้าของร้านจำหน่ายโทรศัพท์ M2D-online กล่าวว่า จำนวนยอดขาย iPhone 4 ในตอนนี้เริ่มลดลงเรื่อยๆ ส่วนในเรื่องราคาขายนั้น ทางร้านของเราขาย iPhone 4 ในราคา 20,900 (16GB) เป็นราคาเครื่องศูนย์รับประกันให้หนึ่งปี ส่วนในเรื่องการปรับราคาในแต่ละวันนั้น จะดูจากจำนวนผู้ซื้อ หากผู้ซื้อมีจำนวนมากทางเราก็จะมีการปรับราคาขึ้นประมาณ 100-200 บาท หากผู้ซื้อมีจำนวนน้อยลงทางเราก็จะปรับราคาลงอีกพอสมควร ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับจำนวนสินค้าด้วยว่า ขาดสต๊อกหรือเปล่า



ลูกค้าของร้านเราในตอนนี้จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ ลูกค้าที่รอให้ iPhone 5 ออกมาก่อน เพื่อที่จะรอซื้อ iPhone 4 ในราคาที่ถูก และอีกประเภทคือ รอซื้อ iPhone ตัวใหม่ล่าสุดทีเดียวเลย เจ้าของร้านโทรศัพท์ M2D-online กล่าว



บทความโดย: ekk TechXcite
ที่มา: appleinsider, matichon

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://www.techxcite.com/

17 กันยายน 2554

โรคฮิต ชีวิตติดออนไลน์


"อยู่ดี ๆ รู้สึกแสบตา ปวดหัว ปวดร้าวที่ไหล่ ไปจนถึงข้อมือ หรือแม้แต่ผิวหน้าคล้ำขึ้น ไปจนถึงเป็นหวัดคัดจมูก ผื่นผิวหนัง และหมดสติได้" โรคเหล่านี้อาจไม่ร้ายแรง แต่ให้ความรู้สึกรำคาญไม่สบายตัวแบบนี้กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความฮอตฮิตของกระแสคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ที่นับวันยิ่งดึงดูดให้คนมี "ชีวิตติดจอ" มากและนานยิ่งขึ้น ซึ่งหากไม่ระวังโรครำคาญเหล่านี้อาจกลายเป็นโรคบั่นทอน จนทำให้ต้องเสียเวลาและเงินทองมากมายจนไม่รู้ตัว
ในสังคมไทยเวลานี้ โดยเฉพาะโลกของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ หากมองไปรอบ ๆ ตัวคุณจะเห็นว่าเพื่อนหลายคน นอกจากมีภาระหน้าที่ต้องทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างน้อยใช้เวลาวันละ 8 ชั่วโมงแล้ว หลายคนยังมีโลกส่วนตัวกับคอมพิวเตอร์ในสังคมออนไลน์ อย่างที่เรามักได้ยินบทสนทนาของเพื่อน เช่น "ตื่นมาขอเข้าไปดูว่าเพื่อนโพสรูปอะไร จะได้เม้นท์ หรือเข้าไปเก็บผัก ขโมยผักเพื่อน แต่งบ้าน ทำร้านอาหารก่อนดีกว่า" เป็นพฤติกรรมของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ "ออนไลน์เล่นเกม และคุยกับเพื่อน" ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือ social networking กันมากขึ้น จนหลายคนอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวันทั้งคืน หรือถึงขั้นหลับคาจอก็เกิดขึ้นมาแล้วกับหลายคน
คนไทยในวัยทำงานเฉลี่ยอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมเมื่อ 4-5 ปีก่อนใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมง เท่านั้น แต่ปัจจุบันเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น 8-10 ชั่วโมง สิ่งที่น่าสนใจคือเกือบครึ่งหนึ่งของการใช้งาน หมดไปกับการเล่นเกม การแชทออนไลน์ และล่าสุดกับการเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น facebook หรือ hi5 เว็บที่ให้ทุกคนทั่วไปเปิดโพสต์รูปแสดงความเห็นกันอย่างสะดวก และล่าสุดกับ twitter ที่เปิดให้ทุกคนเข้าไปเขียนข้อความสั้น ๆ ไม่เกิน 140 ตัวอักษร ว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน คิดอะไรอยู่ จนกลายเป็นกิจกรรมที่ทำให้หลายคนมีความสุข คลายเหงา และมีเพื่อนมากขึ้น แต่ข้อดีมักมีข้อเสียตามมา เพราะการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ แบบไม่ระวังอาจกระหน่ำซ้ำเดิมให้ร่ายกายเจ็บป่วยขึ้นมาได้
นพ. ศักดา อาจองค์ อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ถ่ายทอดให้เห็นภาพของอาการป่วยต่าง ๆ ไว้ดังนี้
ดวงตาที่น่าสงสาร
ลองสังเกตตัวเองกันดูว่าขณะที่ดูคอมพิวเตอร์ ท่องเน็ตอย่างเมามันส์ หน้าจอต่าง ๆ เปลี่ยนไปตามนิ้วที่คลิกเมาส์ผ่านไปแล้วสิบหน้าจนถึงร้อยหน้า แต่ตาเรากระพริบไปแล้วแค่กี่ที..... หลายคนเข้าข่ายจ้องจนลืมกระพริบ สวนทางกลับความต้องการของร่างกาย ที่ต้องพระพริบตาบ่อย ๆ เพื่อนรักษาความชุ่มชื้นของนัยน์ตา พฤติกรรมนี้ทำให้เกิดอาการที่แบ่งได้คร่าว ๆ คือ
1. ตาแห้ง จากความชุ่มชื้นนัยน์ตาหายไป เพราะโดยธรรมชาติของคนเราจะกระพริบตาบ่อย ๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของตา
2. ตาอักเสบ
3. ตาเสื่อม ซึ่งเหมือนกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่เสื่อมลงเพราะความเหน็ดเหนื่อยมานาน
4. เกิดรอยคล้ำรอบดวงตา มีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตา
5. ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อตา ปวดกระบอกตา และปวดศีรษะตามมาในที่สุด
หลังจากเกิดความเจ็บป่วยเหล่านี้แล้ว ก็คือรักษาตามอาการ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตามมามากมาย ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ นพ. ศักดาแนะนำคือ วิธีการป้องกัน ที่ง่ายที่สุดคือการไม่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป การกระพริบตาเพื่อรักษาความชุ่มชื้น โดยระพึงเสมอว่า ความเพลิดเพลินที่หน้าจออินเทอร์เน็ตของเว็บต่าง ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนเราไม่เบื่อ และเกิดความเพลิดเพลิน เราต้องไม่ลืมตัวจนจ้องหน้านานจนเกินไป
คลื่นแรง อันตรายก็มา
รังสีและคลื่นจากจอคอมพิวเตอร์แม้จะอยูในระดับที่ปลอดภัย แต่ถ้าใช้งานจนเกินไป อาจส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้ หลายคนคงสังเกตได้ด้วยตัวเองจากผลกระทบเฉพาะหน้า คือหลายคนหน้าแดง คล้ำขึ้นหลังจากอยู่หน้าจอนาน ๆ ถึงขั้นมีการแนะนำกันว่าควรทาครีมกันแดดก่อนอยู่หน้าจอเสียด้วยซ้ำ เพื่อป้องกันแสงจากจอมีรังสีอัลตราไวโอเลตออกมากระทบผู้ใช้งานโดยตรง
นอกจากนี้ยังมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แพทย์แนะนำว่าผู้ที่ตั้งท้องในช่วง 3 เดือนแรกควรหลีกเลี่ยงการอยู่หน้าคอมพิวเตออร์นาน ๆ เพราะอาจส่งผลต่อเด็กในครรภ์ให้เติบโตผิดปกติ แม้จะยังไม่มีผลพิสูจน์แต่ป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า
ปวดตั้งแต่หัว ไปถึงนิ้วมือ
ท่านั่งไม่ถูกต้อง เช่น จอต่ำหรือสูงเกินไป แป้นพิมพ์วางไม่สมดุล ระยะของจอกับระดับสายตาไม่เหมาะสม ผลก็คือทำให้ปวดตั้งแต่กล้ามเนื้อคอ ปวดแขน จนมาถึงข้อมือและนิ้วมือ เพราะเอ็นที่ยึดส่วนต่าง ๆ ของมือทำงานหนัก จนทำให้เกิดความเมื่อยล้า และเจ็บปวด วิธีการแก้ปัญหาคือการพักการใช้มือ ส่วนใหญ่พบว่าเมื่อหยุดการใช้งานอาการจะดีขึ้น หากมีอาการหนักขึ้น คือต้องผ่าตัดข้อมือ
นั่งนานอาจหมดสติ
การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานต่อเนื่องยาวนาน อาจทำหมดสติได้ เพราะโรคลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำ คล้าย ๆ กับอาการของคนที่นั่งเครื่องบินนาน ๆ ในชั้นประหยัด ที่เคยได้ยินกันว่าเป็นโรค economy class syndrome เช่น มีกรณีที่เกิดขึ้นกับหนุ่มวัย 32 ปี ที่อยู่หน้าจอนานถึงวันละ 18 ชั่วโมง เกิดอาการโคม่า เพราะอาการเลือดจับตัวเป็นก้อน ที่บริเวณขา ก่อนแตกกระจายเดินทางไปยังปอดทั้งสองข้าง และส่งผลมายังหัวใจ แม้จะยังไม่ได้พิสูจน์ว่าโคม่าเพราะสาเหตนี้หรือไม่ แต่ก็เป็นอันตรายที่ต้องระวัง โดยให้สังเกตอาการเริ่มต้นจากขาที่เริ่มบวมก่อน ส่วนกลุ่มเสี่ยงคือผู้ที่มีอาการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ผู้ที่อายุมาก และอ้วน
คอมเราเองก็แพร่เชื้อได้
หลายคนอาจคิดว่าการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่บ้าน คงไม่เกิดโรคภัยติดต่อทางร่างกายได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้คอมพิวเตอร์ของสาธารณะ หรืออินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ที่กลุ่มนั้นมักได้รับการติดต่อจากโรคตั้งแต่หวัดจนถึงผิวหนังเชื้อรา แต่ความจริงแล้ว คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้าน หลายคนเป็นภูมิแพ้โดยไม่รู้ตัว เพราะฝุ่นที่จับอยู่บริเวณเครื่้องจำนวนมาก
สาเหตุมาจากเมื่อคอมพิวเตอร์ทำงาน จะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้ดูดฝุ่นละอองมาเกาะจำนวนมาก หลักการทำงานคล้ายกับเครื่องฟอกอากาศ ซึ่งหากเราจะสังเกตดูจะพบว่าหลังจอคอมพิวเตอร์หรือทีวี มักมีฝุ่นตกอยู่จำนวนมาก นั่นเพราะแรงของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ดูดฝุ่นตกลงมา หากสะสมไปนาน ๆ ผลก็คือทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ฝุ่นได้ในที่สุด
อย่างที่ว่าแม้คอมพิวเตอร์จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกวิทยาการ ทำให้ชีวิตมนุษย์สะดวกสบายมากขึ้นทั้งในแง่ของการทำงานและชีวิตประจำวัน แต่หากเราไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง และปล่อยให้เทคโนโลยีครอบงำ จนกลายเป็นทาสคอมพิวเตอร์แล้ว ผลสุดท้ายก็จะเป็นดังเช่นตัวอย่างของอาหารเจ็บป่วยที่ร่างกายของเราเองต้องรับผล ซึ่งมาจากการกระทำของเรานั่นเอง ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนี้สามารถป้องกันได้
อย่าลืมว่าเด็ก ๆ คือเยาวชนของชาติ และคนที่จะสร้างเยาวชนให้เติบโตอย่างมีคุนภาพได้นั้นคือพ่อแม่ทุกคนนั้นเอง เพราะฉะนั้นคอมพิวเตอร์ควรเป็นเพียงอุปกรณ์เสริมความรู้ให้ลูกหลานของเรามากกว่า มาเป็นเพื่อนหรือผู้ปกครองแทนเรากันดีกว่า
เด็กติดคอม โตช้า
คอมพิวเตอร์กับเด็กเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง หากเด็กใช้คอมพิวเอตร์นานเกินไปและอยู่กับเนื้อหาของคอมเตอร์ที่ไม่เหาะสม ซึ่งไม่เพียงแต่เรื่องของภัยทางสังคมที่น่ากลัวเท่านั้น แต่พัฒนาการทางร่างกายของเด็กยังเป็นสิ่งที่น่ากังวล
ด้านจิตใจ เด็กกับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กันด้วยเกม การที่เด็กเล่นเกมนาน จะส่งผลต่อทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับสังคมรอบข้าง เพราะจะทำให้เด็กหมกหมุ่นขาดทักษะในเชิงความคิดรวบยอดและไม่ชอบการเข้าสังคม รวมถึงทักษะในการใช้ภาษาโดยเฉพาะในปัจจุบันที่เด็กแซท และเข้าสู่เครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งมีภาษาที่หลากหลายและผิดเพี้ยนจากภาษาพูดมากมายหรือบางคนอาจเกิดปัญหาพูดช้า
ด้านร่างกาย การที่เด็กอยู๋กับคอมพิวเตอร์ เมาส์ คีบอร์ดเป็นเวลานาน อาจได้ในการพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่นนิ้วมือ แต่จะทำให้ขาดการพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น แขน ขา เพราะเด็กไม่ได้เล่นออกกำลังกาย การกระโดด ปื่นป่าย ส่งผล ต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เด็กบางคนยังมีผลกลายเป็นเด็กอ้วนอีกด้วย
วิธีหนีโรคคอมพิวเตอร์
1. การใช้งานคอมพิวเตอร์ 1-2 ชั่วโมง ควรหยุดพัก 10-15 นาที ทั้งหลับตา มองต้นไม้ บริหารดวงตาด้วยการกลอกตาเป็นวงกลม 5-6 รอบ ใช้นิ้วนางแตะหัวตาแต่ละข้าง คลึง กดจุด 1-2 วินาที
2. ตั้งจอคอมพิวเตอร์ห่างจากสายตา 20-24 นิ้ว ระดับต่ำกว่าสายตาเล็กน้อย เพื่อลดการตกของจุดรวมแสง ส่วนความสว่างควรอยู่ที่ประมาณ 3 เท่าของแสงแวดล้อม
3.จัดท่านั่งให้ถูกต้อง เช่น เวลาพิมพ์ข้อศอกกับคีย์บอร์ดอยู่ในระดับเดียวกัน ขาสองข้างวางเรียบกับพื้น นั่งตัวตรง อย่าให้ข้อมือโก่ง โค้งผิดปกติ เวลาใช้เมาส์ตัวอักษรที่เล็กที่สุดที่คุณสามารถอ่านได้ ใช้ตัวอักษรสีดำ บนพื้นสีขาวเป็นหลัก หลีกเลี่ยงพื้นสีเข้ม
4. ควรออกกำลังกาย เช่น กำมือ คลายมือ นวดไหล่ ต้นคอ ยืดแขน ลุกขึ้นยืนขยับตัวเป็นระยะ ๆ
5. หมั่นทำความสะอาดปัดฝุ่น เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
5 พฤติกรรมบอกว่าคุณติดอินเตอร์เน็ตเข้าแล้ว
1.นั่งๆ อยู่ ก็รู้สึกอยากออนไลน์ทั้งที่มีงาน มีภารกิจอื่นที่ต้องทำ
2.อยากหยุด หรืออยากลดการใช้อินเตอร์เน็ตแต่ก็ทำไม่ได้สักที และบางทีถึงขั้นหงุดหงิด ซึมเศร้า โมโห เมื่อหยุดใช้อินเตอร์เน็ต (ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องใช้)
3.ออนไลน์นานเกินกว่าความตั้งใจเมื่อเริ่มเล่นตอนแรก
4.ความสัมพันธ์กับครอบครัว หรือกับเพื่อนบางคน บางกลุ่มลดลง
5.เมื่อรู้สึกเศร้า ผิดหวัง ท้อแท้ มักออนไลน์เพื่่อหนีปัญหา หรือปลดปล่อยความรู้สึกเหล่านั้น
Source : sangsue.co.th

‘ทาทา’ฮึดสู้ปิกอัพ-เก๋งเล็ก เปิดรุ่นใหม่รับตลาดเดือด!


 ข่าวในประเทศ-ค่ายรถแดนภารตะ “ทาทา” ดิ้นหนีตายอุตลุด ไม่เพียง 4 ค่ายยักษ์ใหญ่จ่อคิวเปิดตัวปิกอัพโฉมใหม่ถล่มตลาด ยังเจอสถานการณ์ความไม่แน่นอนของปริมาณก๊าซซีเอ็นจี และนโยบายปรับราคาเพิ่มของรัฐบาลใหม่ ทำให้ยอดขายปิกอัพ “ทาทา ซีนอน ไจแอนต์ ซีเอ็นจี” ชะลอตัวแรง จนต้องปรับกลยุทธ์หนีตาย เตรียมหันมาเน้นเครื่องดีเซลคอมมอนเรลมากขึ้น และเดือนตุลาคมเล็งเปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ “ทาทา ซีนอน แม็กซ์ แค็บ” เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร ด้วยการจับรุ่นมีแค็บมาใส่กระบะพื้นเรียบ เพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มเถ้าแก่มากขึ้น เพราะสามารถบรรทุกของได้มากกว่า แต่เคาะราคาเท่ากับรุ่นมีแค็บธรรมดา
      
       ขณะที่เก๋งเล็กยังยืนยันเดินหน้านำเข้าซิตี้คาร์ “ทาทา นาโน” มาทำตลาด ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 ปลายปีนี้ เคาะราคาแบบเต็มกลืน 2.75 แสนบาท โดยปรับสเปกและอุปกรณ์มาตรฐานให้เหมาะสมกับลูกค้าชาวไทย เล็งเจาะกลุ่มสิงห์นักบิดสองล้อที่ต้องการขยับขึ้นมาใช้เก๋งคันแรก ฉีกหนีอีโคคาร์ที่กำลังเข้าสู่โหมดแข่งเดือดเร็วๆ นี้
ผลิตภัณฑ์หลักในปัจจุบัน "ทาทา ซีนอน"
       ใกล้จะเข้าโค้งสุดท้ายของปี 2554 สัญญาณปี่กลองในเวทีตลาดรถยนต์ไทย โดยเฉพาะกลุ่มปิกอัพบ่งบอกว่ากำลังจะเปิดฉากฟาดฟันกันแล้ว เห็นได้จากการเปิดโรงงานเครื่องยนต์ดีเซลมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ของเจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือจีเอ็มในประเทศไทย เพื่อติดตั้งในปิกอัพ “เชฟโรเลต โคโลราโด” โฉมใหม่ ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในช่วงปลายเดือนกันยายน หรือต้นตุลาคมนี้ เช่นเดียวกับ “อีซูซุ ดีแมคซ์” โฉมใหม่ ที่มีข่าวลือสะพัดจะมาเขย่าตลาดช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ขณะที่ “ฟอร์ด เรนเจอร์” ใหม่ จะเปิดสายการผลิตอย่างเป็นทางการ วันที่ 28 กันยายนที่จะถึงนี้ และหลังจากนั้นคงจะมีการแนะนำสู่ตลาดในอีกไม่นาน และแน่นอน “มาสด้า บีที-50” ใหม่ ที่ผลิตจากโรงงานเดียวกัน จะมีการผลิตในเวลาไล่ๆ กัน แม้จะเปิดตัวขายเป็นทางการต้นปีหน้าก็ตาม
      
       ด้านตลาดเก๋งเล็กก็ร้อนแรงเช่นกัน เพราะมีทั้งไมเนอร์เชนจ์ของ “ฮอนด้า ซิตี้” ปลายเดือนนี้ และการเปิดตัวอีโคคาร์แบบซีดานของนิสสัน รวมถึงอีโคคาร์ของ “มิตซูบิชิ” และ “ซูซูกิ” ที่จะเผยโฉมในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 นี้ ซึ่งจากความร้อนแรงของตลาดปิกอัพและเก๋งเล็ก ทำให้ค่ายรายเล็กอย่าง “ทาทา” ต้องปรับตัวรับมืออย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถมีช่องทางยืนหยัดอยู่ในตลาดรถไทยได้
เน้นความโดดเด่นด้านการบรรทุกสิ่งของ โดยไม่ต้องกังวลกับซุ้มล้อที่กีดขวาง
       ทั้งนี้ ปัจจุบันค่ายรถภารตะ มีผลิตภัณฑ์หลักเพียง “ทาทา ซีนอน” ปิกอัพขนาด 1 ตันเท่านั้น ที่สามารถทำยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำ ส่วนปิกอัพเล็กรุ่น “ซูเปอร์ เอช” ไม่สามารถบุกตลาดได้จริงจังนัก เพราะต้องรอการขึ้นไลน์ประกอบที่ประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่ปิกอัพรุ่น “ซีนอน ไจแอนต์ ซีเอ็นจี” ที่ถือเป็นรถยนต์ตัวธง กลับต้องประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนก๊าซ และล่าสุดยังมาเจอกับมรสุมกระแสข่าว รัฐบาลใหม่กำลังจะปรับราคาก๊าซซีเอ็นจีขึ้นอีก และที่สำคัญปิกอัพโฉมใหม่จาก 4 ค่ายก็จะออกมาในช่วงนี้ ทำให้สถานการณ์ของทาทาค่อนข้างมีปัญหา ตัวเลขยอดขายในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จึงชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
      
       อย่างไรก็ตาม เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทาทาจึงเตรียมเพิ่มทางเลือกใหม่ และปรับกลยุทธต์ทางการตลาด โดยในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ จะมีการเปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ “ทาทา ซีนอน แม็กซ์ แค็บ” (TATA XENON MAX CAB) สู่ตลาด ซึ่งเป็นปิกอัพมีแค็บแบบกระบะพื้นเรียบ เช่นเดียวกับรุ่นตอนเดียว “ทาทา ซีนอน ไจแอนต์” โดยจะเริ่มต้นกับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.2 ลิตรก่อน และมีราคาเท่ากับรุ่นมีแค็บปกติในปัจจุบัน
หน้าตาของ “ทาทา ซีนอน แม็กซ์ แค็บ” หวังเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและเล็ก
       ส่วนสาเหตุที่แนะนำปิกอัพรุ่นแม็กซ์ แค็บออกมา เพราะต้องการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการรถใช้งานบรรทุก ซึ่งจะช่วยให้สามารถบรรทุกของได้มากขึ้น เพราะกระบะไม่มีซุ้มล้อมาขวางการบรรทุกสิ่งของ ขณะเดียวกันยังสามารถรองรับพนักงานขนของให้นั่งด้านท้ายได้ โดยกลุ่มเป้าหมายจะเป็นผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและเล็ก 
      
       ดังนั้น ปิกอัพรุ่นแม็กซ์ แค็บ จะไปชิงลูกค้าจากปิกอัพคู่แข่งที่รุ่นระดับล่าง หรือรุ่น J ของโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ เป็นต้น ซึ่งจะใช้งานเพื่อการพาณิชย์ หรือบรรทุกมากกว่า โดยปัจจุบันตลาดปิกอัพแบบมีแค็บ ปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 60% ของตลาดปิกอัพทั้งหมด และในจำนวนดังกล่าวกว่า 30% จะเป็นปิกอัพมีแค็บกลุ่มล่าง หรือที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งตลาดปิกอัพไทยอยู่ที่ประมาณ 4.5 แสนคัน ปิกอัพมีแค็บกลุ่มดังกล่าวจะอยู่ที่ปีละ 7-8 หมื่นคัน และทาทาหวังส่วนแบ่งประมาณ 10% ของปิกอัพมีแค็บกลุ่มล่างนี้ หรือเดือนละ 400-500 คัน นับว่าเป็นที่น่าพอใจแล้ว
      
       ส่วนสาเหตุที่แนะนำรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.2 ลิตรก่อน เพราะต้องการหันมาเน้นเครื่องยนต์ใช้น้ำมันดีเซลมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันมีปัญหาเรื่องปั๊มมีก๊าซซีเอ็นจีนไม่เพียงพอ และยังมีกระแสข่าวรัฐบาลใหม่จะปรับราคาก๊าซซีเอ็นจีเพิ่มอีก ทำให้ทาทาต้องหันมาเพิ่มทางเลือกใหม่ ในส่วนของรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลแทน จากเดิมรุ่นหลักจะเป็นเครื่องยนต์รองรับพลังงานซีเอ็นจี 100% แต่ต่อไปประมาณก่อนสิ้นปีน่าจะมีรุ่นซีเอ็นจีตามออกมา ให้ลูกค้าเลือกได้ตามความต้องการเช่นกัน
“ทาทา นาโน” มีแผนจะเข้ามาทำตลาดในไทย และมีคิวเปิดตัวในช่วงงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 ปลายปีนี้
       สำหรับแผนการทำตลาดเก๋งขนาดเล็ก ทุกอย่างคงเดินหน้าต่อไปตามแผน คาดว่าจะเปิด “ทาทา นาโน” สู่ตลาดไทยได้ ในช่วงงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 นี้ โดยจะนำเข้าสำเร็จรูป(CBU) จากประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันได้มีการสั่งสเปกเฉพาะสำหรับตลาดไทยไปแล้ว โดยได้มีติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ มากกว่าที่ขายในอินเดีย อย่างกระจกมองข้างครบทั้งสองด้าน ติดตั้งแอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม เพราะลูกค้าในไทยจะเปิดแอร์ตลอดเวลา หรือปรับอัตราเร่งให้ดีกว่าเดิม เป็นต้น 
      
       นอกจากนี้ยังได้มีการปรับเครื่องยนต์ของทาทา นาโน ให้สามารถรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ ซึ่งตอนนี้กำลังทดสอบการใช้งานระยะทาง 20,000 กิโลเมตรอยู่ คาดว่าในอีก 2 เดือนข้างหน้าจะรู้ผล และหากไม่มีปัญหาอะไร จะสามารถเปิดตัวสู่ตลาดไทยตามแผนที่วางไว้ ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปปลายปีนี้ โดยอาจจะมีการเพิ่มชื่อรุ่นต่อท้ายคำว่า “นาโน” เข้ามา เพื่อแสดงให้เห็นเป็นเวอร์ชั่นที่แตกต่างจากรุ่นที่ขายในประเทศอินเดีย แต่ปัจจุบันยังไม่สรุปว่าจะใช้ชื่ออะไร
เตรียมเสริมอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับลุยตลาดในบ้านเราโดยเฉพาะ
       ทาทา นาโน เป็นซิตี้คาร์วางเครื่องยนต์ 624 ซีซี มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ประหยัดน้ำมัน 23.6 กิโลเมตร ต่อน้ำมัน 1 ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ต่ำ โดยกลุ่มเป้าหมายทาทา มอเตอร์ส จะไม่ลงไปแข่งขันกับ “อีโคคาร์” แต่จะเปิดตลาดใหม่เจาะกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ และต้องการจะขยับมาใช้รถยนต์เป็นครั้งแรก
      
       โดยมีให้เลือกเพียงรุ่นเดียวเฉพาะเกียร์ธรรมดา และมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 2.75 แสนบาท ซึ่งคงจะไม่สามารถลดลงต่ำกว่านี้ได้แล้ว เพราะเป็นราคาแทบจะไม่มีกำไร เพราะต้องนำเข้าสำเร็จรูปจากอินเดีย ทำให้เสียภาษีศุลกากร หรือภาษีนำเข้า 80% แต่อนาคตกำลังจะมีแผนการขึ้นไลน์ประกอบในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะทำให้สามารถทำกำไรได้
สำหรับรถบรรทุกหัวลาก “ทาทา แดวู” ยังคงต้องรอผลการวางแผนงานด้านการตลาดกันต่อไป
       ส่วนการทำตลาดรถบรรทุกหัวลาก “ทาทา แดวู” ปัจจุบันได้มีการให้ผู้ประกอบการบางรายทดลองวิ่ง และปัจจุบันนำเข้าจากประเทศเกาหลีมาทดลองทำตลาดกว่า 20 คันแล้ว ตอนนี้กำลังเตรียมความพร้อมเรื่องบริการหลังการขาย และทีมงานทำตลาด คาดว่าอาจจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า 
      
       นับเป็นการพยายามดิ้นรนของค่ายรถจากแดนภารตะ “ทาทา” เพื่อหาทางช่องทางยืนในตลาดรถยนต์ให้กับตัวเอง เพราะไม่เพียงเป็นแบรนด์เล็กๆ ยังเป็นรถจากประเทศอินเดีย ที่การยอมรับจากผู้บริโภคชาวไทย ยังไม่มากเท่ากับรถญี่ปุ่นหรือเกาหลี แต่หากมีช่องทางของตัวเองชัดเจน ย่อมต้องมีโอกาสแจ้งเกิดได้เช่นกัน?...
ชมกันชัดๆ อีกครั้ง กับโมเดลที่ทาทาหวังใช้เป็นทีเด็ด เปิดตลาดใหม่เจาะผู้ขับขี่ 2 ล้อ ที่ต้องการขยับมาสู่รถยนต์เป็นครั้งแรก

ที่มา http://www.manager.co.th