31 กรกฎาคม 2554

แอบหลอน 9 สถานที่ ในกรุงเทพ ที่ว่าเฮี้ยน..


อันดับที่ 9 ในซอยวัชรพล



เป็นบ้านทรงยุโรปหลังใหญ่ ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ถูกทิ้งร้างค้างคาอยู่ในสภาพเดิม เวลากลางคืนดูน่ากลัวชวนขนลุกยิ่ง และว่ากันว่ามีคนพบเห็นวิญญาณของชายหญิงและเด็ก ปรากฏวูบวาบบ่อยๆ สาเหตุที่บ้านหรูหลังใหญ่ กลายเป็นบ้านร้าง เนื่องจากเจ้าของบ้านหลังนี้ พาครอบครัวขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด และประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตหมดทุกคน



อันดับที่ 8 โรงงานร้างอยู่ในอุตสาหกรรมบางปู (ฝั่งเดียวกับเมืองโบราณ)



สถานที่อยู่สุดซอย 2 เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำรองเท้า ขณะที่กิจการกำลังดำเนินงานไปด้วยดี ได้เกิดอุบัติเหตุร้างแรง คือเครื่องปั้มลมเกิดระเบิดคนงานหลายคนเสียชีวิตสยอง นับตั้งแต่นั้นคนงานที่ทำงานอยู่ ถูกผีหลอกวิญญาณหลอน จนต้องทะยอยลาออกไปเรื่อยๆจนหมด กิจการประสบความวินาศ เจ้าของโรงงาน ยิงตัวตายในห้องทำงานชั้นบนของโรงงาน และกลายเป็นสถานที่รกร้างเรื่อยมา เล่าลือกันว่าผีดุมาก ปัจจุบันนี้ยังมีเศษรองเท้ากระจายเกลื่อนและปั้มลมมรณะก็ยังอยู่



อันดับที่ 7 วัดปราสาท จ.นนทบุรี



วัดปราสาท จ.นนทบุรี เป็นวัดเก่าแก่โบราณ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เคยขุดพบกำแพงเมืองรอบอุโบสถอายุ 300 ปี ด้านหลังอุโบสถ มีคุ้มเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมว่ากันว่าเจ้าของสถานที่คือ พระนางอุษาวดีเทวี ชาวบ้านระแวกนั้นเรียกว่า "แม่" และ" เจ้าแม่ " เวลากลางคืน หากไปที่บริเวณคุ้มจะมีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวมาก ผู้ใดไปแสดงกิริยาวาจาจ้วงจาบหยาบคาย ไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของสถานที่ มักจะพบกับเหตุการณ์แปลกๆน่าขนหัวลุก



อันดับที่ 6 ในซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถ.พัฒนาการ



ในซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถ.พัฒนาการ เป็นโรงงานร้าง เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำปากกา และเป็นโรงกลึงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 80 ไร่ เหตุที่กลายเป็นโรงงานร้าง ชำรุดทรุดโทรม มีวัชพืชขึ้นปกคลุมรกครึ้มเช่นทุกวันนี้ ว่ากันว่าเจ้าที่เจ้าทางแรง ระหว่างที่ดำเนินงานอยู่ มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายคน ผู้ลงทุนขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการ หากเดินเข้าไปในอาณาเขตโรงงานร้าง จะสัมผัสบรรยากาศยะเยือกผิดปกติ และเล่าลือกันว่าหากไปเคาะแท้งก์น้ำซึ่งตั้งอยู่ 3 ใบ 3 ครั้ง จะปรากฏเจ้าที่เจ้าทางออกมาให้เห็นทันที



อันดับที่ 5 รังสิตคลอง 13



จากถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร มีบ้านพักถูกไฟไหม้เกือบหมดทั้งหลัง แต่ยังเหลือซากบ้านอยู่ส่วนหนึ่ง ข้อมูลบางกระแสเล่าว่า มีผู้หญิงตายในไฟ บ้านหลังนี้อยู่ในสวนมะขามหวาน แต่ถูกทิ้งให้รกร้าง คนในระแวกใกล้เคียงต่างยืนยันกันว่าตอนกลางคืน จะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวน มาจากซากบ้านบ่อยๆ พร้อมกันนั้นเคยมีคนเห็นผีผู้หญิงใ นบริเวณซากบ้านด้วย



อันดับที่ 4 ในซอยรอดอนันต์ 1 ถ.สุขาภิบาล1



เป็นบ้านร้างทรงไทยอยู่ริมบึง ห่างไกลจากบ้านอื่นๆ ในระแวกนั้นบริเวณบ้านรกครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยคุณยายเจ้าของบ้าน เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ และน่าเชื่อว่า วิญญาณของคุณยายไม่ยอมไปผุดไปเกิด แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้าน จนกระทั่งลูกหลานไม่กล้าอยู่ ต่างแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นหมด ปล่อยบ้านทิ้งร้างชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และที่บ้านหลังนี้เล่าลือกันว่าผีดุนัก คนอยู่ระแวกใกล้เคียงเคยเห็นผีคุณยายมายืนชี้นิ้วอยู่ที่หน้าบ้านเมื่อมี เด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณหน้าบ้าน เคยมีคนใจกล้าเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงผู้หญิงแก่ๆขู่ตะคอก จนต้องเผ่นออกมาแทบไม่ทัน



อันดับที่ 3 ในซอยสายหยุด อู่รถเมลล์เก่า



ที่นี่เป็นสุสานรถเมลล์หรือรถโดยสาร ประจำทางที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนใช้การไม่ได้ ซากรถเมลล์แต่ละคันมีประวัติคนตายโหงคารถ ในสภาพสยดสยองมาแล้ว และเป็นที่เล่าลือกันว่า อยู่ดีๆไฟในรถกลับเปิดสว่างขึ้นมาเอง หรือมีคนมายืนโบกรถหน้าอู่ แท๊กซี่จะเข้าไปจอดรับก็หายไปบางครั้งมีคนวิ่งตัดหน้า และหายไปดื้อๆ



อันดับที่ 2 วัดมหาบุศย์ พระโขนง



ที่วัดมหาบุศย์ ยังมีศาลย่านาคตั้งอยู่ สืบเนื่องมาจากตำนานรักของแม่นาคพระโขนง ที่รู้กันแพร่หลายเล่ากันว่า เมื่อผีแม่นาคอาลวาดหลอกหลอน จนชาวบ้านหาปกติสุขมิได้ เจ้าประคุณสมเด็จโต ( วัดระฆัง ) ได้มานำวิญญาณแม่นาคไป พร้อมกับกระดูกกระโหลกหน้าผาก แล้วอบรมสั่งสอนให้รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นัยว่าแม่นาคเลื่อนภพเป็นเทพแล้ว หากยังมีผีวนเวียนที่วัดมหาบุศย์ คงมิใช่วิญญาณแม่นาคอย่างแน่นอน



อันดับที่ 1 ในซอยรามคำแหง 32



ลึกเข้าไปในซอยรามคำแหง 32 ท่านจะพบบ้านทรงสเปนหลังหนึ่งรูปทรงสวยสง่าน่าอยู่ แต่บ้านนี้ไม่มีใครอยู่อาศัยนานกว่า 20 ปีแล้ว ปล่อยให้ทิ้งร้างเก่าทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย ประวัติของบ้านมีว่าเจ้าของบ้านเป็นชาวต่างชาติ วันหนึ่งเจ้าของบ้านขับรถออกไปทำงานตามปกติ ที่บ้านมีสาวใช้อยู่เพียงคนเดียว คนร้ายไม่ทราบจำนวน ซึ่งคงมาแอบสังเกตการณ์นานพอสมควรได้ฉวยโอกาสเข้าปล้น และฆ่าสาวใช้ตายคาที่ นับตั้งแต่นั้นมักจะได้ยินเสียงผู้หญิง ร้องให้ช่วยดังโหยหวนน่าสยดสยอง และยังเห็นผู้หญิง (เข้าใจว่าเป็นสาวใช้ที่ถูกฆ่าตาย ) เดินวนเวียนวูบวาบอยู่ในบ้าน เจ้าของบ้านทนอยู่ไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เล่ากันว่าหลังจากนั้น มีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย ดังมาจากบ้านร้างบ่อยๆ และมีคนเห็นผู้หญิงลึกลับยืนอยู่หน้าบ้านเป็นประจำเมื่อเข้าไปใกล้ก็หายไป
Credit http://board.postjung.com/556681.html

29 กรกฎาคม 2554

10 ภาพวาดที่มีราคาประมูลสูงที่สุดในโลก

ทุกคนรู้ดีว่างานศิลปะมีราคาแพง แต่คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือที่ว่าแพงนั้นแพงแค่ไหน? และนี่คือภาพเขียนที่แพงที่สุด 10 ภาพที่เคยซื้อขายผ่านการประมูล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าภาพเหล่านั้นเป็นภาพที่ดีที่สุดหรือสวยที่สุด แต่หมายความถึงว่าจิตรกรเหล่านั้นได้รับความนิยมอย่างสูงในวงการศิลปะ ภาพวาดเหล่านี้จะเรียงตามลำดับมูลค่าของมัน ซึ่งมูลค่าของมันก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลานั้นๆ ด้วย และคุณอาจจะสังเกตว่าภาพจิตรกรรมที่ขายไปใน1-2 ทศวรรษที่ผ่านมาติดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

10. Femme aux Bras Croises by Pablo Picasso ($52,851,000)

Femme aux Bras Croises (Woman with Folded Arms) ภาพเขียนฝีมือของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1902 ในยุค Blue Period ของเขา ซึ่งเป็นยุคที่มืดมนและโศกเศร้า ในภาพเป็นรูปผู้หญิงนั่งกอดอกอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมาย ความแตกต่างของน้ำหนักสีฟ้าที่สวยงามคือเทคนิคการใช้สีที่ Picasso นิยมใช้ในยุคนี้

ภาพ Femme aux Bras Croises ถูกประมูลขายไปในราคา $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลของสถาบัน Christie ที่ Rockefellerในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2000


9. Rideau, Cruchon et Compotier by Paul Cezanne ($70,140,000)

Rideau, Cruchon et Compotier ภาพเขียนของ Paul Cezanne เขียนขึ้นในช่วงปี 1893-1894 Cezanne เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในการเขียนภาพหุ่นนิ่ง ซึ่งแสดงอารมณ์อันล้ำผ่านความสงบนิ่งในความเหมือนจริง

ภาพนี้ถูก ประมูลขายไปด้วยราคาสูงถึง $ 60.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Sotheby เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1999 ผู้ที่ประมูลไปคือ ตระกูล Whitneys หนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากนั้นภาพนี้ได้ถูกนำมาประมูลใหม่อีกครั้งหนึ่ง


8. Portrait de l'Artiste sans Barbe by Vincent van Gogh ($ 71,690,000)

Portrait de l'artiste sans barbe ("Self-portrait without beard") หรือ ”ภาพเหมือนที่ไม่มีเครา” หนึ่งในภาพเหมือนตัวเองหลายๆ ภาพของ Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงปี 1889 ซึ่งเขาพำนักอยู่ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ภาพเขียนสีน้ำมันภาพบนเฟรมผ้าใบภาพนี้มีขนาด 40x31 ซ.ม. (16" x 13")

Van Gogh เขียนภาพนี้หลังจากที่เขาพึ่งโกนหนวดเสร็จ แตกต่างจากภาพเหมือนรูปอื่นๆ ของเขาที่ไว้เครา และมันได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกตลอดกาลเมื่อถูกประมูลขายไปใน ราคาสูงถึง $ 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ที่กรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1998


7. Les Noces de Pierrette by Pablo Picasso ($72,697,000)

Les Noces de Pierrette ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกอีกภาพหนึ่งของ Pablo Picasso จิตรกรและประติมากรเอกชาวสเปน วาดขึ้นในยุค Blue Period ของเขา เป็นช่วงที่เขาทุกข์ทรมานจากความยากจนและความโศกเศร้า เนื่องจาก Carlos Casagemas เพื่อนรักของเขาฆ่าตัวตายเมื่อปี 1901 ภาพนี้ถูกขายให้กับเศรษฐีชาวเอเซียด้วยราคาสูงถึง $ 51.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1989 ในการประมูลที่สถาบัน Binoche et Godeau ที่ปารีส


6. Massacre of the Innocents by Peter Paul Rubens ($77,927,000)

ภาพเขียนฝีมือของ Peter Paul Rubens จิตรกรเอกชาวเฟลมมิช ซึ่งวาดภาพนี้ขึ้นในปี 1611 เป็นภาพเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาภาพเขียนทั้ง 10 รูป ผู้ที่ซื้อไปคือนาย Kenneth Thomson (บารอน ทอมสันที่ 2 แห่ง Fleet) ด้วยราคาสูงถึง 49.5 ล้านปอนด์ ($ 76.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในการประมูลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2002 ที่สถาบัน Sotheby


5. Irises by Vincent van Gogh ($78,400,000)

เขียนขึ้นในขณะที่เขาพักรักษาตัวอยู่ในสถานพักฟื้น Saint Paul-de-Mausole ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1890

ในปี 1987 ภาพนี้ได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก เมื่อมันถูกขายไปในราคาสูงถึง $ 54,000,000 ล้านเหรียญออสเตรเลีย โดยนาย Alan Bond แต่เขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายได้จึงต้องมีการประมูลขายอีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันภาพนี้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ Getty Museum ในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริก


4. Dora Maar au Chat by Pablo Picasso ($95,216,000)

Dora Maar au Chat (Dora Maar with Cat) ภาพเขียนปี 1941 โดย Pablo Picasso จิตรกรเอกชาวสเปน ผู้หญิงในภาพคือ Dora Maar ภรรยาของเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และมีแมวตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของเธอ ภาพนี้เขียนขึ้นในยุค Cubism ที่มีชื่อเสียงของเขา และถูกนำออกประมูลขายในการประมูลภาพเขียนของจิตรกรยุค Impressionism ที่สถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2006 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 95.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าราคาที่ประเมินไว้คือ $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผู้ไม่ประสงค์ออกนามเป็นผู้ที่ประมูลไป


3. Garcon a la Pipe by Pablo Picasso ($106,910,000)

Garcon a la Pipe (Boy with a Pipe) ภาพเขียนของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1905 อยู่ในช่วง 24 ปีของยุค Rose Period ที่มีชื่อเสียงของเขา เป็นยุคที่เขานิยมใช้สีส้มและชมพูในการเขียนภาพ สีน้ำมันบนผืนผ้าใบแสดงเด็กชายชาวปารีสคนหนึ่งกำลังถือไปป์ในมือซ้าย

ใน วันที่ 5 พฤษภาคม 2004 ภาพนี้ถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 104.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค หลังจากที่ทางสถาบันได้ตีราคาประเมินไว้ที่ $ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาขายที่ออกมาได้สร้างความประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากภาพนี้ไม่ได้วาดขึ้นในยุค Cubism ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Picasso นักวิจารณ์ศิลปะหลายคนกล่าวว่ามูลค่าที่สูงลิ่วของภาพนี้มีมาจากชื่อเสียง ของตัวศิลปินเอง มากกว่าคุณค่าความงามหรือความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในตัวภาพเอง


2. Bal au moulin de la Galette by Pierre-Auguste Renoir ($110,420,000)

Bal au moulin de la Galette ภาพเขียนที่วาดขึ้นในปี 1876 โดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส Pierre-Auguste Renoir ภาพนี้มีด้วยกัน 2 รูป และเป็นชื่อเดียวกันด้วย ภาพใหญ่กว่าจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส ส่วนภาพเล็กถูกประมูลขายไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1990 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่สถาบัน ในกรุงนิวยอร์ค ให้กับนาย Ryoei Saito ซึ่งซื้อไปพร้อมกับภาพเหมือนของ Dr. Gachet ซึ่งภาพ Bal au moulin de la Galette ก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับภาพเขียนของ Vincent van Gogh เช่นกัน


1. Portrait of Dr. Gachet by Vincent van Gogh ($116,790,000)

ผู้ที่ซื้อภาพนี้ไปคือนาย Ryoei Saito มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1990 ด้วยวงเงินสูงถึง $ 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ภาพเหมือนของ Dr. Gachet ถูกวาดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 1890 โดย Vincent van Gogh จิตรกรยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ชาวดัทช์

นาย Ryoei Saito ได้ประกาศสิ่งที่ช็อควงการศิลปะโลกเมื่อเขากล่าวว่าเขาปรารถนาที่จะเผารูป เขียนของ Vincent van Gogh ให้ตายไปพร้อมกันกับเขา แต่ต่อมาเขาได้อธิบายว่าเป็นแค่การพูดเปรียบเปรยเท่านั้น เพื่อบอกว่าเขามีความชื่นชมภาพเขียนชั้นยอดรูปนี้เพียงใด ซึ่งนาย Ryoei Saito ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 1996 Vincent van Gogh ได้เขียนรูปเหมือนของ ไว้ 2 รูปด้วยกัน โดยใช้สีสันต่างกันเล็กน้อย ซึ่งอีกภาพนั้นจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส

************************************************************************************************************************************************

อันดับพิเศษ : ภาพ Mona Lisa (La Gioconda) ที่วาดโดยจิตรกรเรืองนาม Leonardo da Vinci (1452-1519) ซึ่งวาดขึ้นในช่วงปี 1503–1507 ปัจจุบันเป็นสมบัติของรัฐบาลฝรั่งเศส จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse du Louvre ในกรุงปารีส เป็นภาพที่ไม่มีวันนำออกมาประมูลขายได้ แต่มันเป็นภาพเขียนมีการประกันภัยที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันที่ 14 ธันวาคม 1962 ภาพนี้ได้รับการประกันภัยสูงถึง $ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อนที่จะนำออกไปแสดงยังสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาหลายเดือน และในปี 2006 ภาพนี้จะมีมูลค่าเพิ่มสูงถึงราวๆ $ 670 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว 10 ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก


ที่มา

http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=36241

28 กรกฎาคม 2554

10 ภาพยนตร์เปลี่ยนโลก

ในขณะที่ภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะเน้นบันเทิงเพื่อให้ผู้ดูหลีกหนีจากความจริง แต่กระนั้นก็ยังมีภาพยนตร์จำนวนหนึ่งที่มีเนื้อหากระทบต่อวัฒนธรรม การใช้มนุษย์ เป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคนคิดจะเปลี่ยนโลก แม้ภาพยนตร์ดังกล่าวไม่ได้มีเจตนา(หรือเจตนา)ก็ตาม และนี้คือ 10 ภาพยนตร์เปลี่ยนโลกที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

10. Super Size Me

เป็นภาพยนตร์กึ่งสารคดีที่กำกับและแสดงโดยมอร์แกน สเปอร์ล็อค ที่ยอมเอาตัวเองไปเสี่ยง กับทฤษฎีบริโภคนิยมอาหารฟาสต์ฟู้ด ด้วยการกินเมนูขนาดซูเปอร์ไซส์ของแม็กโดนัลด์ ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือนเต็มหลังครบกำหนด 30 วัน ผลที่ได้ก็คือ ความดันที่เพิ่มขึ้น ไขมันที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักตัวของเขาเพิ่มขึ้น 11 กิโลกรัม เกือบตายด้วยภาวะไตวาย เหมือนสื่อให้ว่าวัฒนธรรมการกินที่ห่วยแตกของ อเมริกา ออกมาประจานให้ชาวโลกได้รับรู้ พร้อมๆไปกับ ผลพวงของ ร้านอาหารแบบ ฟาสต์ฟู้ด ที่ออกแนวหลอกขายอาหารขยะให้กับเด็กๆ และด้วยเนื้อหาแบบนี้เองทำให้ภาพยนตร์ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูงแม้ว่าผลที่ ตามมาบทสรุปที่นำมาคือการฟ้องร้องแม็กโดนัลด์ก็ตาม โดยออกมาพร้อมว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเสนอมุมมองด้านเดียว แต่กระนั้นมันเป็นเป็นตัวจุดชนวนทำให้ประชาชนตื่นตัวเกี่ยวกับวัฒนธรรมการ กินของพวกเขามากขึ้น ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเริ่มมีการเพิ่มเมนูสุขภาพเข้าไปในรายการของตนมากขึ้น เพื่อเป็นเมนูทางเลือกแก่ลูกค้าที่ใส่ใจต่อสุขภาพ

9. Rosetta

Rosetta(1999) เป็นภาพยนตร์ฟอร์มเล็กของเบลเยี่ยมกำกับโดยสองพี่น้องดาร์ดัน(Jean-Pierre Dardenne and Luc Dardenne) โดยภาพยนตร์เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งชื่อโรเซตต้า อายุ 17 ปี ที่ความยากจนข้นแค้นทำให้เธอต้องหนีออกจากบ้านที่แม่ติดแอลกอฮอล์ ต่อสู้ชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบ ทำงานอย่างหนักหาเงินเพื่อความอยู่รอดของเธอ โดยภาพยนตร์ดังกล่าวเสมือน สารคดีที่นำเสนอตัวละครเหมือนมีชีวิตจริง จนได้รับรางวัลปาล์มทองคำและนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมือง คานส์ ภาพยนตร์ดังกล่าวยังทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการแก้กฎหมายใหม่ในประเทศ เบลเยี่ยมที่ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าแรงงานจากวัยรุ่นน้อยกว่าค่าจ้างแรงงาน ขั้นต่ำ


8. 2001: A Space Odyssey

2001: A Space Odyssey (1968) เป็น ภาพยนตร์กำกับโดย สแตนลีย์ คูบริค ที่สร้างจากงานที่เขียนขึ้นมาโดย อาเธอร์ ซี. คลาร์ก นักเขียนนิยาย วิทยาศาสตร์ที่โด่งดังพอๆกับ ไอแซค อาซิมอฟเป็น หนึ่งในหนังที่นักวิจารณ์ต่างพากันส่งเสียงยกย่อง ได้ชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ในแนวไซ-ไฟ ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยมีการสร้างมา แม้เนื้อหาในเรื่องจะตีความยากก็ตาม เช่น การวิวัฒนาการของมนุษย์ จากยุคก่อนประวัติศาสตร์ ปรัชญาอวกาศ หือภารกิจบนห้วงอวกาศ หลายคนต้องดูหลายรอบถึงจะเข้าจริงเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว แต่ อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ประสบผลสำเร็จสูง กวาดรางวัล และคำวิจารณ์ด้านบวกมากมาย ไม่ว่ารายละเอียดความสมจริงทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และที่สำคัญคือภาพยนตร์ดังกล่าวมีอิทธิพลต่อโลกมากมาย และคุณเชื่อหรือไม่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ มนุษย์มีความสนใจอยากเดินทางท่องอวกาศ และเป็นแรงบันดาลใจแก่นักวิทยาศาสตร์นาซ่าที่ทำให้มนุษย์ไปดวงจันทร์ในปีต่อ มา อีกทั้งนีล อาร์มสตรองผู้เหยียบดวงจันทร์คนแรกของโลกเคยพูดบรรยากาศการเหยียบดวงจันทร์ ครั้งนั้นว่า “เหมือนกับภาพยนต์เรื่อง 2001”



7. Harlan County, USA

Harlan County, USA หรือ ฮาร์ลานเคาน์ตี้ สหรัฐอเมริกาเป็น ภาพยนตร์สารคดีโดยผู้กำกับ บาร์บารา คอปเพิล ได้รับรางวัลออสการ์ชนะเลิศในปี 1976 ที่มีเนื้อหาตีแผ่ความยากแค้นของคน งานเหมือง 180 คนในชนบทของเคนทักกีที่สุดทนต่อการกดขี่ข่มเหงของนายทุนของ บริษัทดุค พาวเวอร์ จึงรวมพลังกันประท้วงในปี 1874 โดยการหยุดงานจนกว่าทางบริษัทจะมี สวัสดิการความปลอดภัยและให้ค่าจ้างที่เหมาะสม แต่แล้วการประท้วงกลายเป็นความรุนแรงส่งผลทำให้มีผู้ประท้วงบางคนถูกยิงตาย ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ผู้กำกับได้เข้าไปคลุกคลีกับชาว บ้านอย่างใกล้ชิด 4 ปีเต็ม แม้สารคดีเรื่องนี้จึงไม่อาจถือเป็นบทบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องและ มองด้านเดียว แต่กระนั้นมันก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของคนชั้นล่างและถ่ายทอดความจริงที่คน ส่วนใหญ่ในสังคมไม่เคยรับรู้ถึงความสำคัญในสวัสดิการความปลอดภัยในการทำงาน

6.JFK

ภาพยนตร์เรื่อง “เจเอฟเค” เป็นภาพยนตร์กำกับโดย โอลิเวอร์ สโตน ออกฉายในปี 1991 นำแสดงโดย “เควิน คอสเนอร์” ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์แนวทฤษฏีสมคบคิดยอดเยี่ยมตลอด กาล โดยเนื้อหาภาพยนตร์เป็นการนำเสนอเรื่องราวของ “จิม แกร์ริสัน” ทนายความผู้ยึดมั่นในความจริงที่ต้องเอาชีวิตและหน้าที่การงาน ของเขาเข้าเสี่ยงในการสืบสวนคดีลอบสังหารประธานาธิบดี“จอห์น เอฟ เคนเนดี้” ที่อื้อฉาวไปทั่วโลก และมีการนำภาพวิดีโอการลอบสังหารของจริงมาใช้ในภาพยนตร์ด้วย
เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายออกมามันก็กลายภาพยนตร์ที่ถูกโจมตีโดยนัก ประวัติศาสตร์ เนื่องจากทฤษฏีสมคบคิดในภาพยนตร์บอกว่ารัฐบาลสหรัฐอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรม ประธานาธิบดี โดยภาพยนตร์เสนอรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องมีกระทั่งที่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็น นายทหารระดับสูง เจ้าหน้าที่ของ เอฟบีไอ ซีไอเอ ไปจนถึง ประธานาธิบดีลินดอน จอนห์สัน ที่ดำรงตำแหน่งถัดมา (ว่ากันว่า จอร์จ บุช คนพ่อก็เกี่ยวข้องด้วย) โดยมีรายละเอียดทุกอย่างชัดเจนน่าเชื่อถือ ซึ่งผลกระทบต่อภาพยนตร์ดังกล่าวทำให้ประชาชนอเมริกาเรียกร้องให้รัฐบาลเอา คดีเจเอฟเคกลับมาชี้แจงใหม่อีกครั้ง และเป็นตัวจุดกระแสทำให้สื่อมวลชนทุกแขนงทำการวิเคราะห์และถกปัญหากัน อย่างกว้างขวาง



5. The Battle of Algiers

หนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดที่ไม่เคยได้ยินชื่อ ศึกแอลเจียร์ ภาพยนตร์ในปี 1966 ภาพยนตร์เนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู้ของชาวแอลจีเรียในสงครามประกาศอิสรภาพใน ปี 1950 จากฝรั่งเศส ในช่วงแรกภาพยนตร์ดังกล่าวถูกห้ามฉายในฝรั่งเศสเนื่องจากมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ความไม่สงบ ภาพยนตร์ดังกล่าวได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นภาพยนตร์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ หลายประเทศที่มีสงครามกลางเมืองใช้กลยุทธ์การสู้รบแบบกองโจร เช่น ไอริชเคยบอกว่าได้รับอิทธิพลบางส่วนจากภาพยนตร์มาใช้ นอกจากนั้นมันยังถูกใช้เป็นเครื่องมือการเรียนการสอนสำหรับทีมปราบปรามจลาจร ต่อต้านการรบแบบกองโจรของสหรัฐ ในสงครามอีรักด้วย

4. An Inconvenient Truth

An Inconvenient Truth(2006) เป็นภาพยนตร์สารคดียาว 100 นาที ดำเนินเรื่องโดย อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สมัย บิลล์ คลินตัน และผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี ค.ศ. 2000 ที่แพ้การเลือกตั้งให้แก่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ไปอย่างเฉียดฉิวและน่าเคลือบแคลง และนับจากนั้นเขาจึงรณรงค์ให้โลกตระหนักถึงภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหาที่โลก ของเรากำลังเผชิญอยู่ โดยภาพยนตร์สารคดีดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าตอนนี้โลกอยู่ในวิกฤตการณ์สภาวะโลก ร้อน (Global Warming) อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ภัยพิบัติมากยิ่งขึ้น อย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง โดยนำเสนอข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือเป็นระยะ แม้ต่อมาภาพยนตร์ดังกล่าวยังเป็นที่ถกเถียงว่าข้อมูลวิทยาศาสตร์ของภาพยนตร์ เรื่องนี้เชื่อถือได้เพียงใด? อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ดังกล่าวได้สร้างแรง บันดาลใจให้แก่คนทั่วโลกได้ตระหนักถึงภาวะโลกร้อน หลายประเทศมีการจัดอภิปราย รณรงค์ การใช้กฎหมายเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

3. Triumph Of The Will

Triumph of the Will(1934) หนังเยอรมันที่สร้างขึ้นในยุคฮิตเลอร์เรืองอำนาจ กำกับโดยเรมี่(Leni Riefenstahl)ที่เลื่อมใสฮิตเลอร์ และต้องการที่จะสร้างภาพยนตร์ดังกล่าว เพื่อสนับสนุนพรรคให้ยิ่งใหญ่ โดยภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นภาพยนตร์ขาวดำยาวกงว่าสองชั่วโมง เนื้อหาเร้าอารมณ์รักชาติ โดยบันมึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมของพรรคนาซีและทหาร การปราศรัยของฮิตเลอร์ การเดินขบวนพาเหรดของทหารเอสเอส ความศรัทธาของประชาชนที่มีในพรรคนาซี รวม ไปถึงการสร้างตัวฮิตเลอร์ให้คนดูรู้สึกมีความศรัทธามากขึ้น ภาพยนตร์ดังกล่าวกวาดรางวัลมากมายในเทศกาลหนังนานาชาติ ทำให้โลกรู้ถึงความน่ากลัวของฮิตเลอร์และพรรคนาซี และภาพยนตร์ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นต้นแบบของหนังโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งทุก วันนี้ชื่อของเรมี่นั้นได้กลายเป็นชื่อผู้กำกับหญิงที่โดดเด่นที่สุดใน ศตวรรษที่ 20

2.The Birth Of A Nation

The Birth of a Nationหรือ เดอะ เบิร์ธ ออฟ อะ เนชั่น เป็นหนึ่งภาพยนตร์ที่ได้รับเครดิตว่าเป็นภาพยนตร์เงียบที่มีอิทธิพล ต่อจิตใจของชาวอเมริกันจนถึงทุกวันนี้ หนังมหากาพย์ประวัติศาสตร์เรื่อง แรกที่ดังที่สุดของฮอลลีวูด ของผู้กำกับชื่อ ดี ดับบลิว. กริฟฟิธ สร้างเมื่อปี ค.ศ.1915 โดยวางท้องเรื่องไว้ในยุคสงครามกลางเมืองของอเมริกา การลอบสังหารอับราฮัมลินคอล์น และการก่อตัวของลัทธิคู คลักซ์ แคลน ภาพยนตร์ประสบผลสำเร็จอย่างมากในยุคนั้น แม้เนื้อหาไม่ตรงประวัติศาสตร์ก็ตาม นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาเหยียดสีผิวนำเสนอพวกคู คลักซ์ แคลน ขบวนการใต้ดินในรัฐภาคใต้ของอเมริกาที่ต่อต้านคนผิวดำ อย่างเชิดชูและมองคนผิวดำอย่างมีอคติหลังจากหนังเรื่องนี้ ออกฉายแล้วก็มีเสียงต่อต้านและสนับสนุนอย่างมหาศาลจากมหาชนชาวอเมริกา มีรายงานว่าวัยรุ่นผิวขาวหลายคนพอดูหนังเรื่องนี้แล้วก็ไปทำร้ายและสังหารคน ผิวดำ อีกทั้งยังเป็นแรงกระตุ้นให้คนอเมริกันผิวขาวกว่า 3 ล้านคนสมัครเป็นสมาชิก กลุ่มคู คลักซ์ แคลน ให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง



1. The Thin Blue Line

ในคือภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง ที่ส่งผลทำให้เกิดผลกระทบกับสังคมทันทีที่ออกฉาย The Thin Blue Line(1988) เป็นภาพยนตร์สารคดี ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแรนดอลล์ เดล อดัมส์ (Randall Dale Adams) ซึ่งได้ถูกลงโทษพิพากษาประหารชีวิตจากคดีฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ตำรวจดับบลิว โรเบิร์ต วูด อย่างไรก็ตามแม้มีการตัดสินคดีไปแล้วภาพยนตร์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นภายใต้แนว คิดว่าอดัมส์นั้นเป็นแพะคดีฆาตกรรมดังกล่าว โดยเชื่อว่าการตัดสินของคณะลูกขุนผิดพลาด เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอและพยานเท็จ หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ฉาย ทำให้คดีของเขาถูกนำมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง เขาถูกปล่อยตัวออกจากคุกหลังจากนั้นในปีถัดมา ภาพยนตร์ดังกล่าวถือว่าเป็นภาพยนตร์สารคดีคลาสสิกประเภทและรูปแบบการนำเสนอ และได้ทำให้เกิดอิทธิพลอย่างมหาศาลในเวลาต่อมา
เครดิต:CAMMY

อ้างอิงจากบทความ Top 10 Movies That Changed The World

http://www.toptenz.net/top-10-movies-that-changed-the-world.php

(เพิ่มเติมวิกิมีเดีย ไทย และอังกฤษ)

http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=printpage&artid=272

http://www.scriptdd.com/diary/super-size-me-the-movie.html

http://www.onopen.com/2006/02/575





Credit :

http://atcloud.com/stories/97432