30 เมษายน 2554

โรงงานน้ำมันพืช มือ 2 ของพี่จีน

โรงงานน้ำมันพืช มือ 2 ของพี่จีน (มีใครเคยซื้อมากินไหมอ่ะจึ้ยยย!) ตะลึง....คนจีนบริโภคน้ำมันเหล่านี้ 3 ล้านตันต่อปี สยองเลยอ่ะ
แล้วมาเป็นอาหารให้เราทาน ขอให้ทานให้อร่อยนะครับ


__fwdDer.com__-201327384-113800.jpg
__fwdDer.com__-201327388-113801.jpg
__fwdDer.com__-201327393-113802.jpg
__fwdDer.com__-201327398-113804.jpg
__fwdDer.com__-201327404-113805.jpg
__fwdDer.com__-201327409-113806.jpg
__fwdDer.com__-201327416-113807.jpg
__fwdDer.com__-201327420-113810.jpg
__fwdDer.com__-201327426-113811.jpg
__fwdDer.com__-201327429-113803.jpg
__fwdDer.com__-201327434-113808.jpg
__fwdDer.com__-201327441-113809.jpg
__fwdDer.com__-201327444-113812.jpg
__fwdDer.com__-201327449-113813.jpg
__fwdDer.com__-201327454-113814.jpg

29 เมษายน 2554

iPhone 4 สีขาว หนาขึ้นกว่าเดิม 0.2 มิลลิเมตร

จริงๆ เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นข่าวเท่าไหร่ แต่มันมีผลกับคนที่ชอบซื้อเคสมาใส่ซึ่งอาจพบกับปัญหาในภายหลังได้

เรื่องนี้ถูกค้นพบโดยนาย Ryan Cash ซึ่งเป็นฝ่ายการตลาดให้กับเวบ Marketcircle ได้ไปลองเล่น iPhone 4 สีขาวของเพื่อนและความรู้สึกแรกของเขาคือ "มันหนาขึ้น" (เจ้าตัวมี iPhone 4 สีดำรุ่น 32GB อยู่แล้ว)

ด้วยความที่เขาไม่แน่ใจจึงได้นำรุ่นสีขาวและสีดำมาวางเทียบกันและถ่ายรูป จึงเห็นความหนาที่ต่างกัน

ที่มา: Macrumors, TiPb, Ryan Cash's Blog

ภาพจาก Ryan Cash

ทางเว็บ TiPb จึงได้พิสูจน์นำเครื่องมือวัดแบบละเอียดมาวัดและพบว่าหนาขึ้น 0.2 มิลลิเมตรจริงๆ จากเดิม 9.3 มิลลิเมตรไปเป็น 9.5 มิลลิเมตร ซึ่งเวบ TiPb กล่าวอีกว่านี่น่าจะตอบปัญหาของใครหลายๆ คนที่นำเคสมาใส่รุ่นสีขาวแล้วรู้สึกไม่พอดี เช่น แน่นเกินไปบ้างหรือใส่ยาก แต่บางเคสที่ใส่รุ่นสีดำแล้วหลวมเล็กน้อย กลับใส่ได้พอดีกับรุ่นสีขาวก็มี ซึ่งทาง TiPb เองก็ทดสอบกับหลายๆ เคส สามารถดูรายชื่อได้จากลิงก์ที่มานะครับ

ภาพจาก TiPb รุ่นสีดำ

รุ่นสีขาว

ใครคิดจะซื้อรุ่นสีขาวพร้อมเคส ลองสวมเคสก่อนออกจากร้านก็ดีนะครับ

ที่มา Blognone

เรื่องจริง...ที่ทุกคนมองข้าม

เป็นเรื่องจริงอะ ต้องอ่านไว้

เพราะทุกคนมักจะมองข้าม

ชายคนหนึ่งมีภรรยา อยู่ 4 คน


ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจตลอดอยากได้อะไร
เขาหาให้ทุกอย่าง


ภรรยาคนที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่ง
ทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้ และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ

ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว


ภรรยาคนที่ 4
เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่คิดถึงเลย ด้วยซ้ำ



ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรง
และถูกจับ ต้องถูกประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหาร เขาขอร้องว่า เขาขอกลับบ้าน
เพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง ผู้คุมเห็นใจจึงอนุญาต


เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1
เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟังและถามภรรยา คน ที่ 1 ว่า


" ถ้าเขาต้องตายภรรยาคนที่ 1
จะทำอย่าง ไร? "


ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า
“ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน”

คำตอบที่ได้รับ
เหมือนสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่างจัง
เขารู้สึกเจ็บปวด และเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
นึกเสียดาย ว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย


จากนั้นเขาก็ ไปหา ภรรยาคนที่ 2
ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
และถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า
" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2
จะทำอย่างไร? "


ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉย ว่า
" ถ้าเธอตาย ฉันจะมีใหม่ "

เหมือนสายฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขา อย่างจัง
เขารู้สึกเสียใจมาก และนึกเสียดายว่าที่ผ่านมา
เขาไม่ควร ทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน


เขาเดินคอตกมาหาภรรยาคนที่ 3
เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
และถาม ภรรยา คนที่ 3 ว่า

"ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 3
จะทำอย่างไร? "


ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า
"ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง "
ทำให้เขาคลายความ เศร้าโศกขึ้นมาได้บ้าง
อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา



ก่อนกลับไปรับโทษ
เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคน ซึ่งไม่เคยไปหาเลย

จึงไปหา ภรรยาคนที่ 4 และถามว่า

" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4
จะทำอย่าง ไร?"


ภรรยาคนที่ 4 ตอบว่า
" ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย "

แทนที่เขาจะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก
เพราะ...มัน สายเกินไปเสียแล้ว ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่
เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคนนี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขาจะติดตามเขาไปอยู่ด้วย แล้วชายคนนี้ก็กลับไปรับโทษประหาร

และเมื่อเขาตาย ภรรยาคนที่ 4 ก็ตายตามไป ด้วย.....


เราทุกคนก็ มีภรรยา 4 คน นี้
มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร? คิดกันก่อนนะ แล้วค่อยเฉลย...




ทีนี้เรามาดูกันว่า
ภรรยาคน ที่ 1, 2, 3 และ 4
เป็นใครกันบ้าง




ภรรยาคน ที่ 1


ร่างกายของเรา เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่
เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่งทุกอย่าง
อยากได้อะไรก็หาให้
แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา
เมื่อเราตาย ร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้
ท่อนหนึ่งเท่านั้น


ภรรยาคน ที่ 2

ทรัพย์สมบัติ เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่
เราจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มันมา
แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา
แต่ไปเป็นของคนอื่น


ภรรยาคนที่ 3

พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่น้อง เพราะพอเราตาย
เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไปให้
แปลว่า เขาแค่ไปส่งเราเท่านั้น



ภรรยาคนที่ 4

บุญกับบาป
เมื่อเราตายไป
เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้
มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้น
ที่จะตามเราไป .....



เห็นไหมว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิต
แต่เดี๋ยวก่อนอย่าพึ่งคิดว่าเงินไม่สำคัญ"""สำคัญ … แต่
ไม่สำคัญที่สุดเท่านั้นเอง
อย่าลืม…ยังมีเรื่องอื่น
ที่สำคัญกว่าเงินอีกเยอะ



ที่มา : FW

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2103715#ixzz1HyiFhFyE

"ลัดดาแลนด์" ตำนาน น่าสะพรึงเมืองเชียงใหม่

"ลัดดาแลนด์" ตำนาน น่าสะพรึงเมืองเชียงใหม่
เท่าที่ได้มีโอกาสได้เรียนและใช้ชีวิตในเชียงใหม่สิบกว่าปีและได้วนเวียนตรงบริเวณที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ผมเรียนเทคโนราชมงคลล้านนา หรือแต่ก่อนเรียกว่าตีนดอย

ผม ชอบเล่นบาสเก็ตบอลที่สนาม 700 ปี ตรงคันคลอง และต้องผ่านลัดดาแลนด์นับครั้งไม่ถ้วนในยามดึกดึ่น หลายปีและก็กลัวทุกครั้งที่ผ่านตรงนี้ และเท่าที่รู้ประวัติของสถานที่แห่งนี้ (เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมานับๆ

“ลุง จำได้ลาง ๆ สมัย พ.ศ. 2511 ลุงเป๋นตะหานเก๋ณท์ รองผู้ก๋ารท่านชื่อ พันเอก ประดิษฐ์ คุณนายจื๊อ ลัดดา เจ้าของ ลัดดาแลนด์.. พ.ศ. 2514 ลุงมาเฮียนหนังสือหลังจากป๊นตะหาน ที่ สะลัยครู พักหอ ศรัญญา หลังสะลัยครู มีก้าป่าหญ้าจิ๊ยอบหลวง..จ่ำได้ว่า ขี่รถเครื่อง จากหอพัก ปาแฟนไปแอ่ว ลัดดาแลนด์ จากสลัยครู ผ่าน สี่แยกข่วงสิงห์ ไปตางแม่ริมไปสักน่อย แล้วเลี้ยวซ้าย ไปทางคลองชลประทาน จำได้ก๊าโหล่งมัน ลัดดาแลนด์”
ด้วย โครงการจัดสรรอันยิ่งใหญ่ของ คุณนายลัดดา พันธาภา นักธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสามีของท่านคือพล.ต ประดิษฐ์ พันธาภา และเป็นเจ้าของกิจการ “โรงหนังเวียงพิงค์”(โรงหนังนี้ก็โครตเฮี้ยน)


การ เล็งเห็นศักยภาพของที่ดินรกร้าง ผืนใหญ่อยู่ใกล้ดอยสุเทพ”พื้นที่ผืนนี้จึงถูกพัฒนาให้เป็น อุทยานการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ แล้วพัฒนามาเป็นที่พักหรือบ้านในรูปแบบของรีสอร์ทในรูปแบบล้านนาในแบบเมือง เหนือ ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีสถานที่ใดโดดเด่นเท่า


ตามคนเก่าคนแก่ก่อนได้เล่าว่า …..


เมืองเชียงใหม่…เมื่อก่อนย้อนไปน่าจะซัก 40 กว่าปีได้
ลัด ดาแลนด์เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาวที่โด่งดังมากเพราะมีสวนกล้วยไม้ที่ใหญ่ มากๆ“แล้วโครงการขนาดใหญ่ที่ครองใจผู้คนในยุคนั้นก็เกิดขึ้น ด้วยการจัดศูนย์แสดง-สาธิต ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งพิพิธภัณฑ์ชาวเขา การทำเครื่องเขิน การแกะสลักไม้ การทอผ้าไหม การแสดงฟ้อนรำต่างๆ ภายใต้การควบคุมของคณะ วัดเจ้าพ่อเม็งราย อันโด่งดังในยุคนั้น มีทั้งช้างให้นั่ง มีรถม้า มีรถไฟเล็ก การแสดงฟ้อนรำต่างๆ ทำให้หน้าหนาวทุกปีจะมีคนขึ้นมาเที่ยวเยอะมาก รวมไปถึงการมัดใจเด็กๆ และครอบครัว ด้วยการให้บริการช้าง ม้า และรถไฟเล็กให้นั่ง ด้วยค่าบริการประมาณ 8 หรือ 10 บาท มี “น้ำมะเกี๋ยง” (น้ำลูกหว้า) เป็นที่แรกและเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้ รวมทั้งมีการเปิดเพลงของคณะ ดิอิมพอสสิเบิ้ล ซึ่งโด่งดังในขณะนั้นเกือบตลอดทั้งวัน…”


เป็นสถานที่ยอดฮิตของวัยรุ่นสมัยนั้นจะไปออกเดทกันเพราะมีความเชื่อว่า

* คู่ไหนไปอธิฐานขอความรักกับต้นไทรหน้าลัดดาแลนด์แล้วคู่นั้นจะได้รักกันไปตลอดชีวิต
* ส่วนประชากรในหมู่บ้านทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นคนที่มีฐานะดีเข้าไปอยู่ จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านเศรษฐีก็ได้

คนติดแก๊สอ่วม รัฐเอาจริงเพิ่มภาษีรถใช้แก๊ส-ปล่อยลอยตัวขั้นบันไดครั้งละ 3 บาท

รัฐอนุมัติเตรียมปรับภาษีรถยนต์ใช้แก๊ส "แอลพีจี" เพิ่ม -ประกาศชัดลอยตัว LPG แบบขั้นบันไดปรับทุกไตรมาส ครั้งละ 3 บาท เริ่มเดือน ก.ค.นี้

นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือกพช. เมื่อวานนี้ มีมติเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมกลับไปพิจารณาปรับเพิ่มภาษีรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LPG เนื่องจากปัจจุบันมีการนำเข้ามาและเป็นภาระให้รัฐบาลต้องเข้าชดเชย ซึ่งสาเหตุมาจากนำไปใช้ในภาคขนส่งอย่างกว้างขวาง ในที่ประชุมจึงมีแนวคิดให้ชะลอการใช้ลง โดยใช้มาตรการทางภาษี

นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากที่ประชุม กพช. มีมติให้เริ่มทยอยปรับราคาแก๊สแอลพีจีในภาคอุตสาหกรรมขึ้น ซึ่งจะเริ่มในเดือนกรกฏาคมนี้ โดยใช้วิธีการขึ้นแบบขั้นบันได เป็นรายไตรมาส ครั้งละ 3 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับส่วนที่รัฐทำการชดเชยอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ในส่วนราคาแก๊สภาคครัวเรือน-ขนส่ง นั้น รัฐจะมีการตรึงราคาไว้ก่อนจนถึงเดือนกันยายนนี้ ในขณะที่กลุ่มก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV นั้นรัฐจะยังตรึงไว้ที่ 8.50 บาท แต่รัฐจ่ายชดเชย 2 บาท ต่อกิโลกรัมเท่านั้น โดยในตอนนี้ที่ประชุม ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมไปพิจารณามาตรการทางด้านภาษีป้าย สำหรับรถยนต์ที่ดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้แอลพีจี เพื่อคุมการขยายตัวของปริมาณการใช้แอลพีจีในภาคขนส่ง

อย่างไรก็ดี ในการประชุมครั้งนี้ กพช. ได้วางกรอบแนวทาง ชดเชยราคาพลังงานฉุกเฉินในช่วงเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เพื่อป้องกันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง โดยให้สถาบันบริหารกองทุนน้ำมันพลังงาน องค์กร (มหาชน) หรือ สบพ. สามารถกู้เงินมาใช้พยุงฐานะกองทุนน้ำมันเป็นการชั่วคราว วงเงินเบื้องต้น 20,000 ล้านบาท ส่วนที่ไม่ขอจัดสรรงบประมาณกลางปีมาใช้ เนื่องจากงบกลางเหลือเพียงแค่ 1,000 ล้านบาทเท่านั้น


ที่มา sanook

วันวานของดารา...