31 มกราคม 2554

รถไฟฟ้า มาหานะเธอ



รถไฟฟ้า มาหานะเธอ (อังกฤษ: Bangkok Traffic Love Story) เป็นภาพยนตร์ไทยแนวโรแมนติก-คอมเมดี้ ออกฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552 กำกับโดย อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม กำกับภาพโดย จิระ มะลิกุล ได้รับเรตติ้ง "ท" (ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้ดูทั่วไป)[3] นำแสดงโดยธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ศิริน หอวัง และอังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา
ภาพยนตร์นำเสนอในมุมมองของ "เหมยลี่" พนักงานบริษัทสาวโสดวัย 30 ปี ที่พบรักกับวิศวกรรถไฟฟ้าของรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานที่ถ่ายทำส่วนใหญ่ถ่ายทำในรถไฟฟ้า สถานีรถไฟฟ้า บริษัทรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมถึงสถานที่อื่นในกรุงเทพมหานคร อย่าง ถนนจันทน์ สองฝั่งคลองริมแม่น้ำเจ้าพระยา พระที่นั่งอนันตสมาคม เยาวราช ท้องฟ้าจำลอง เป็นต้น
ภาพยนตร์ได้รับการตอบรับอย่างดี เปิดตัวรายได้ในวันแรกที่ 15.1 ล้านบาท ทำลายสถิติรายได้วันเปิดตัวในปีนี้ของภาพยนตร์ ห้าแพร่ง ที่ 14.9 ล้านบาท ติดอันดับ 1 ยาวนาน 4 สัปดาห์ ทำรายได้รวม 147 ล้านบาท นอกจากนั้นภายหลังภาพยนตร์ฉายยังมีออกในรูปแบบการ์ตูน ส่วนด้านรางวัลที่ภาพยนตร์เรื่อง รถไฟฟ้า มาหานะเธอ ได้รับ คือสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จาก 2 สถาบันคือรางวัลขวัญใจสื่อมวลชนและท็อปอวอร์ด 2009 รวมถึงยังได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดนิยมจากสตาร์พิกส์อวอร์ด ส่วนในด้านรางวัลการแสดง คริส หอวัง ได้รับรางวัลประเภทนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากหลายสถาบัน








เนื้อเรื่อง
ในคืนวันแต่งงานของเป็ด (ปาณิสรา พิมพ์ปรุ) ซึ่งตรงกับวันวาเลนไทน์ เหมยลี่หรือลี่ (ศิริน หอวัง) เพื่อนสนิทของเป็ด ซึ่งเมาหัวราน้ำก็นอนหลับในห้องของเป็ด หลังจากที่ตื่นและเริ่มสร่างเมาแล้วจึงขับรถกลับบ้าน แต่ก็ขับรถไถข้างทางจนกระจกข้างรถกระเด็นออกไป และได้พบกับลุง (ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) ผู้เข้ามาช่วยดูเครื่องยนต์รถที่สตาร์ทไม่ติดให้ เมื่อลี่ถึงบ้านในตอนเช้า พ่อแม่และอาม่าก็มาต่อว่าถึงหน้าบ้านและพ่อยังไม่ให้ขับรถไปทำงานอีก ทำให้ลี่ต้องมาทำงานโดยการขนส่งมวลชนแทน
คืนหนึ่งลี่ตื่นขึ้นมากลางดึกและแอบขึ้นไปกินเบียร์บนดาดฟ้า ลี่บังเอิญพบกับเพื่อนร่วมกัน ซึ่งแนะนำให้เธอรู้จักลุง หลังจากนั้นลี่ก็ได้พบกับลุงอีกครั้งบนสถานีรถไฟฟ้า ครั้งนี้ลี่ทำแว่นตาเรย์แบนของลุงหล่นไปจนพัง ลี่ได้ปรึกษารุ่นน้องแถวบ้านที่ชื่อ เพลิน (อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา) โดยแนะนำให้เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้ ลี่จึงได้ซื้อแว่นตาและได้เขียนเบอร์โทรศัพท์ไว้บนกล่องและหาโอกาสให้แว่นตาใหม่ แต่ลุงก็ไม่โทรมาหา ลี่และเพลินมาดักรอที่ร้านวิดีโอที่คาดว่าลุงจะมา จนได้เจอลุงอีกครั้ง แต่เพลินสามารถหาวิธีเอาเบอร์โทรศัพท์ของลุงมาได้แต่ไม่ให้ลี่ ในเวลาต่อมาเพลินได้มาเป็นพนักงานร้านวิดีโอที่ลุงเช่า ลี่แก้เผ็ดเพลินโดยใช้โทรศัพท์ของเพลินส่งข้อความไปหากิ๊กของเพลินให้มาพบกันทั้ง 3 คน จนเกิดทะเลาะวิวาทกัน ลุงได้เข้ามาในร้านพอดีและถือแล็ปท็อปมาด้วยก็เกิดทำตกลงพื้น
ด้วยความสำนึกผิด ลี่จึงอาสาเอาแล็ปท็อปของลุงให้สามีของเป็ดซ่อม แต่ก็ซ่อมไม่ได้ จึงเอามาคืนที่สำนักงานรถไฟฟ้าบีทีเอส ทั้งนี้เธอตั้งใจจะฝากข้อความกับผู้รักษาความปลอดภัย แต่ก็หลับไปก่อน เมื่อลุงเลิกงานก็กลับบ้านพร้อมกับลี่ด้วยรถไฟฟ้า แต่กระเป๋าที่ใช้มาตั้งแต่ยังเรียนก็เกิดพังขึ้นมาจึงจะนำไปทิ้งลงถังขยะ แล้วลี่ก็เก็บกระเป๋าของลุงเอาไว้ ในนั้นพบของหลายอย่าง รวมถึงฟิล์มถ่ายรูป ลี่จึงนำฟิล์มไปล้างพบภาพลุงกับนักแสดงสาว กบ กวิตา (ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ) ในละครโทรทัศน์เรื่อง "น้ำตากามเทพ" แต่แล้วภาพก็หลุดไปทางอินเทอร์เน็ตจนเป็นข่าวใหญ่โตทางหน้าหนังสือพิมพ์
ลี่ได้พบลุงอีกครั้งบนรถไฟฟ้าในขณะที่เขายังนอนหลับอยู่ ลี่ได้บอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องข่าวว่าภาพอาจจะหลุดมาจากฝีมือของเธอ แต่ลุงก็ไม่ถือสาอะไร ลุงได้เล่าว่านักแสดงสาว กบ เป็นแฟนเก่าและเลิกกันเพราะเวลาไม่ตรงกัน จากนั้นพอถึงสถานีเอกมัย ลี่ชวนลุงมาดูดาวที่ท้องฟ้าจำลอง และเดินมาดูนิทรรศการเกี่ยวกับดาวหางแมกไบรท์ที่จะโคจรมาถึงโลก ลี่ชวนลุงดูดาวหาง หลังจากนั้นไม่นานก่อนสงกรานต์ ลุงชวนลี่มาเล่นสงกรานต์กัน แต่ลี่ซึ่งตกลงกับทางบ้านว่าจะไปประเทศจีนในช่วงวันนั้นพอดี ก็แก้ตัวว่าลืมหนังสือเดินทางอยู่ที่บ้าน เธอจึงไม่ได้ไปประเทศจีนกับครอบครัว
ในช่วงสงกรานต์ ที่ทั้ง 2 นัดกัน เพลินก็เข้ามามีส่วนร่วมตามไปด้วย ลี่ไม่รู้สึกสนุกกับการเล่นเพราะมีก้างขวางคออยู่ ทั้ง 3 คนแยกทางกันจากรถสองแถว ลี่ก็ได้รู้จักบ้านลุงที่เป็นเกสต์เฮาส์อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ลี่กลับบ้านมาเปลี่ยนชุด หลังจากนั้นไปเที่ยวกันตอนดึก ทั้ง 2 เที่ยวกันในสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร ลุงชวนลี่ไปในกิจกรรมวันครอบครัวของรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่สามารถชวนครอบครัว คนรู้จักเข้าไปในสถานีได้ ลุงถ่ายรูปแต่ก็แย่งกล้องถ่ายรูปกันอีกจนกล้องพัง
ในวันครอบครัว ก็ทำให้ลี่ได้รู้ว่าลุงจะไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนี ในอีก 2 วัน ทำให้ลี่ถึงกับอึ้งไป ต่อมาลี่ก็มาที่บ้านลุงในสภาพข้าวของที่ถูกห่อหีบแล้ว ทั้งคู่เดินไปคุยที่สะพานสาทร ลี่ก็จากลากับลุงที่สะพาน โดยลี่บอกว่าขอแค่เป็นคนรู้จักกัน ในวันถัดมาซึ่งเป็นวันที่ลุงเดินทางไปประเทศเยอรมนีในตอนเช้า ลูกจ้างชายที่อยู่เกสต์เฮาส์ของลุงได้ฝากกล่องให้ลี่ ในนั้นมีกระจกข้างของรถลี่ในวันที่เจอกันวันแรก แว่นตาเรย์แบนที่ลี่ทำแตก ตั๋วเข้าท้องฟ้าจำลอง แล็ปท็อบที่ทำตกพัง และกล้องถ่ายรูปที่พัง แต่ในนั้นยังมีเมโมรีการ์ดอยู่ ลี่เปิดมาดูเห็นภาพที่ลุงแอบถ่ายลี่ในสภาพความเป็นธรรมชาติ ลี่น้ำตาไหลและรีบออกไปสนามบินสุวรรณภูมิแต่ก็สายเกินไป ลุงออกเดินทางไปแล้ว ในวันนั้นเองซึ่งเป็นวันที่ดาวหางแม๊กซ์ไบรท์ซึ่งโคจรเฉียดโลกมาพอดี ลุงซึ่งอยู่บนเครื่องบินดูดาวหางบนเครื่องบินในขณะที่ลี่ก็ดูดาวหางอยู่เช่นกัน
2 ปีถัดมา ลี่ทำงานกะกลางคืน ในขณะที่เดินทางไปทำงานลี่บังเอิญได้พบกับลุงอีกครั้งบนสถานีรถไฟ ลุงเปลี่ยนมาทำงานกะกลางวันและกลับมาประเทศไทยราว 2-3 เดือน ทั้งคู่ลงจากรถไฟฟ้ามาที่สถานีสยาม ซึ่งเป็นสถานีเปลี่ยนเส้นทางระหว่างสายสุขุมวิทและสายสีลม ลี่ลงบันไดมาชั้นล่างเพื่อเปลี่ยนเส้นทางโดยไม่หันหลังกลับไปมองลุงเลย ลี่ต่อรถไฟฟ้าแต่แล้วรถไฟฟ้าเกิดขัดข้องไฟดับบนเส้นทาง คนในรถไฟฟ้าต่างโทรศัพท์หาแฟนหรือเพื่อน แต่แล้วก็มีโทรศัพท์เข้ามาสายเข้าจากลุงบอกว่ารถไฟขัดข้อง ลุงก็ชวนลี่ไปเที่ยวสงกรานต์กัน ลี่ก็ตอบว่าว่าง จนเกือบจะร้องไห้ เมื่อไฟมาลุงก็อยู่ในรถไฟฟ้านั้นแล้ว แล้วบอกว่าให้บันทึกเบอร์ไว้





29 มกราคม 2554

28 มกราคม 2554

Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

ซีซันส์เชนจ์ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย) เป็นภาพยนตร์ไทย เรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเด็กวัยรุ่น 3 คน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี ที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเปรียบเทียบกับฤดูกาลที่เปลี่ยนไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ กำกับโดย นิธิวัฒน์ ธราธร และเข้าฉาย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2549





เนื้อเรื่องย่อ
หลังจากจบมัธยมต้นแล้ว ป้อม ตัดสินใจสมัครเข้าเรียนมัธยมปลาย ที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล สาขาเตรียมดนตรี เพราะต้องการอยู่ใกล้กับ ดาว เด็กสาวจากโรงเรียนเดียวกัน ที่เขาแอบหลงรัก
ในขณะที่พ่อของป้อมเข้าใจว่า ลูกชายเรียนสาขาเตรียมแพทยศาสตร์ โดยที่ป้อมเองก็ไม่กล้าบอกความจริง เนื่องจากพ่อของป้อมเห็นว่า ดนตรีเป็นวิชาชีพที่ไม่มั่นคง
ขณะเดียวกัน ป้อมก็ได้พบกับ อ้อม ลูกสาวของเพื่อนพ่อ ที่ถึงแม้ด้านปฏิบัติจะไม่เอาไหน แต่ความรู้ด้านทฤษฏีดนตรีเป็นเลิศ และสอบเข้าที่วิทยาลัยฯ เช่นกัน เมื่อทราบเรื่อง อ้อมก็เข้าใจว่า ป้อมรักดนตรีเหมือนกัน จึงสัญญาจะช่วยป้อมเก็บความลับ
ถึงแม้จะตามผู้หญิงที่แอบรักมาเรียน แต่ป้อมกลับค้นพบว่า ตัวเขามีพรสวรรค์ในการตีกลองชุดที่เป็นเลิศ ทำให้ เฉด และ ฉัตร สองหนุ่ม ผู้กำลังมองหามือกลอง ให้กับวงดนตรีของตัวเอง เลือกป้อมเข้าร่วมวง เพื่อเข้าประกวด การแข่งขันวงดนตรี ฮอทเวฟมิวสิคอวอร์ด โดยตั้งชื่อวงว่า Ass-Ho-Le (แอสโฮลี่)
นอกจากนี้ ฝีมือการตีกลองของป้อม ยังไปเข้าตา จิทาโร่ อาจารย์ชาวญี่ปุ่น ผู้สอนเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ (เพอร์คัชชัน) อาจารย์จิทาโร่ จึงมักจะเรียกใช้ป้อม ให้มาช่วยทำวิทยานิพนธ์ของเขาอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม ป้อมกลับเลือกสมัครเป็นมือกลองทิมปะนี ในวงออร์เคสตราของโรงเรียนแทน เพราะต้องการอยู่ใกล้ชิดดาว ซึ่งเป็นมือไวโอลินของวง ส่วนอ้อม ซึ่งเคยเป็นมือไวโอลินเช่นกัน ต้องเปลี่ยนไปเล่นฉาบแทน เนื่องจาก ฝีมือการเล่นเครื่องดนตรีอื่นไม่เอาไหนจริงๆ
เนื่องจาก วงออร์เคสตรา ใช้การเคาะจังหวะด้วยกลองไม่มาก ป้อมจึงต้องรออย่างเบื่อหน่าย กว่าจะถึงช่วงเล่นของตนแต่ละครั้ง ต่างกับอ้อม ที่มีความสุขกับดนตรี แม้ทั้งเพลงจะได้เล่นน้อยมาก ป้อมจึงเริ่มนึกถึงความรู้สึกของตนเอง ที่เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่เสมอ ทั้งเรื่องดนตรี การเรียน ความรัก และชีวิตของตนในอนาคต ราวกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย





เหตุการณ์สุดคลาสสิกของอาชีพโปรแกรมเมอร์

เสียดายถ้าโปรแกรมเมอร์ไม่ได้อ่าน...
เหตุการณ์สุดคลาสสิกของอาชีพโปรแกรมเมอร์ อาจไม่ถูกทุกข้อสำหรับบางคน แต่ส่วนมาก ใช่เลย...

สังเกต ดูดีๆ คนที่ทำงานสาย software developer นั้น จะเจอเหตุการณ์ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอดชีวิตการทำงานสายนี้ และต่อไปนี้ขอเชิญอ่าน เหตุการณ์สุดคลาสสิคของโปรแกรมเมอร์เมอร์เมอร์….(มีเสียงสะท้อนเล็กน้อย)

* โปรเจ็คที่ได้รับมักจะดูเหมือนง่ายในตอนแรก แต่สับสนวุ่นวายในตอนสุดท้าย
* การให้โปรแกรมเมอร์ทำเอกสาร เปรียบเสมือนเอานาวิกโยธินสหรัฐไปประกวดนางสาวไทย
* ตอนเขียนโปรแกรมเอง Test เอง ไม่เจอ Bug แต่ตอนไป Test กับลูกค้าเสือกเจอ!!!
* ตอน Test กับลูกค้าเหมือนจะไม่มีบั้กแล้ว พอเริ่มใช้งานระบบจริง :X เสือกเจอ!!!
* พอ โปรแกรมพังตอนใช้งานจริง โปรแกรมเมอร์มักเอ่ยว่า “ตอน Test ไม่เห็นเป็นเลย” แล้วก็จบด้วยการทำหน้างงๆ แสดงให้เห็นว่า ผมไม่รู้จริงๆนะเว้ย
* ประเมินเวลาของโปรเจ็ค 10 วัน ไม่ใช่การเขียนโปรแกรม 80 ชั่วโมงต่อคน แต่อาจะเป็น 100ชั่วโมงต่อคน หรือมากกว่านั้น
* Programmer เก่งกาจจะเป็น System Analyst ทำเอกสารได้ห่วยแตก
* Programmer ที่เก่งกาจมันพูดภาษาคนแล้วเข้าใจยาก
* System Analyst ที่ทำเอกสารได้เก่งกาจ มักจะเคยเป็น Programmer ที่เขียนโปรแกรมได้ห่วยแตกมาก่อน
* ลูกค้าไม่เคยให้ Requirement ครบ
* ลูกค้าคือพระเจ้า
* นอกจากลูกค้าแล้ว Google ก็เป็นพระเจ้าเหมือนกัน
* งาน Coding ไม่เคยเสร็จก่อนกำหนด
* ออกแบบระบบจนเสร็จ แล้วค่อยเขียนโปรแกรม เป็นแค่เรื่องในฝันเท่านั้น (สำหรับคนไทย)
* คนให้ Requirement จริงๆ มักจะไม่ค่อยอยากได้ระบบ IT หัวหน้ามันนั้นแหละ อยากได้
* บางที Bug ก็ไม่มีเหตุผล และไม่ต้องการคำจำกัดความ
* Bug ก็เหมือนความรัก มองไม่เห็น แต่รู้สึกถึงมันได้
* ไม่มี OT มีแต่ O-Free
* Project ที่ โปรแกรมเมอร์ปั่นงานจะจนดึกดื่น มักจะมี Bug เยอะ ถึงเยอะมาก
* ลูกค้ามักจะขี้เกียจ Test โปรแกรมของมันเอง
* แต่พอใช้งานจริงแล้วเจอ Bug ชอบมางอแง
* เขียนโปรแกรมช้า ใช่ว่าจะไม่มี Bug
* เขียนโปรแกรมเทพ ใช่ว่าจะไม่มี Bug
* สรุปว่าเขียนยังไงโปรแกรมก็มี Bug
* การแก้ Code ของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตัวเองเป็นเรื่องที่น่าปวดกบาลมาก
* Code ยิ่งเทพเท่าไหร่ แก้ Bug ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
* และคนเขียน Code เทพ มักจะโดนสาปแช่งจาก Programmer ที่ต้องมาแก้งานมัน
* ถ้าโปรแกรมช้า เราจะโทษว่า Server ไม่ดี
* System Analyst ที่แก้ Design บ่อยๆ มักจะอ้างกับ Programmer ว่า “ก็ลูกค้ามันเปลี่ยน”
* System Analyst ที่เพิ่ม Requirement บ่อยๆ มักจะอ้างกับ Programmer ว่า “ก็ลูกค้ามันขอเพิ่ม”
* Programmer ที่ทำงานไม่ทัน มักจะอ้างว่าประเมินเวลามาน้อยเกินไป
* มีความเชื่อว่า Application ไม่ต้องการความสวยงาม
* Requirement สามารถเปลี่ยน เพิ่ม ได้ตลอดเวลา แต่มันไม่มีทางลดลงแน่นอน
* การเล่น Internet ไร้สาระ คือการผ่อนคลาย
* การเล่น msn คือการผ่อนคลาย
* การเล่น social network เป็นการผ่อนคลาย
* ด่าลูกค้าเป็นความบันเทิง และผ่อนคลาย
* Internet มีทุกอย่างที่โปรแกรมเมอร์ต้องการ
* พิมพ์สัมผัสได้ เป็นผลจาการ Chat อันหนักหน่วง
* มีความเชื่อว่า ถ้าพิมพ์คีย์บอร์ดด้วยความรุนแรง จะดูเท่
* คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า โปรแกรมเมอร์ทำได้ทุกอย่างที่เกียวกับ computer
* ดังนั้น โปรแกรมเมอร์เป็นที่พึ่งให้ เพื่อนๆ พ่อ แม่ พี่น้อง อากง อาม่า เวลามีปัญหากับเทคโนโลยีใหม่ๆ
* ไม่มีโปรแกรมเมอร์คนไหน กลับบ้านตรงเวลาตลอด
* ชีวิตจะบัดซบทุกครั้ง ที่ไฟดับ
* ตอน Present โปรแกรมให้ลูกค้าดู ต้องไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนทุกครั้ง
* เวลาขี้เกียจแก้งาน โปรแกรมเมอร์จะบอกว่า “Code ตรงนี้ผมไม่ได้เป็นคนเขียนครับ”
* เวลาโปรแกรมมีปัญหา ลูกค้ามักจะบอกว่า “ยังไม่ได้ไปทำอะไรมันเลยนะ อยู่ๆก็ใช้ไม่ได้”
* โปรแกรมเมอร์ว่างงาน มักง่วงตอนสายๆ หรือบ่ายๆ
* คาเฟอีนคือยาวิเศษ
* การนั่งหลับเวลาง่วงมักไม่ค่อยได้รับความยอมรับจากหัวหน้า

ปล.และอื่นๆอีกมากมาย

26 มกราคม 2554

จักรยานสีแดง

จักรยานสีแดง (Red Bike Story) ภาพยนตร์ของแกรมมี่ฟิล์ม ออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2540 กำกับโดยยุทธนา มุกดาสนิท นำแสดงโดยนักแสดงและนักร้องชื่อดังอย่าง มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ และ อมิตา ทาทา ยัง พร้อมด้วยแชมเปญ เอ็กซ์ บทภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง จักรยานแดงในรั้วเขียว ของดำรงค์ อารีกุล ภาพยนตร์ทำรายได้ 49 ล้านบาท


เรื่องย่อ
จักรยานสีแดง เป็นเรื่องราวของวาที (ปฏิภาณ ปฐวีกานต์) ชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ชีวิตมหาวิทยาลัย และมีเพื่อนสนิทร่วมห้องในหอพักด้วยกันคือ สุคนธ์ และวาทียังมีเพื่อนสนิทหญิงอีกคนหนึ่ง คือ ขม (ทาทา ยัง) ที่รู้จักกันโดยบังเอิญจากการสับกระเป๋ากัน และเมื่อนำมาแลกคืนกัน ทั้งคู่ก็รู้จักกันและสนิทกันแต่นั้นมา วาทีหลงรักเปรี้ยว (แชมเปญ เอกซ์) นักศึกษาเจ้าของจักรยานสีแดง ในขณะที่สุคนธ์ก็หลงรักอาจารย์ญาดา ที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย วาทีตามจีบเปรี้ยวด้วยวิธีต่าง ๆ จนวาทียืมจักรยานของเปรี้ยวมาใช้ได้ในที่สุด แต่ด้วยความที่วาทีนำกุญแจไปไขจักรยานผิดคัน ทำให้วาทีถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นขโมย และถูกรุ่นพี่ปกครองของมหาวิทยาลัย ซึ่งหมั่นไส้ตัววาทีอยู่แล้ว พิพากษาให้มีความผิด และจะโดนลงโทษด้วยการถีบตกน้ำ ในตอนแรกเปรี้ยวไม่ยอมมาเป็นพยานให้ว่า ให้ยืมจักรยานแก่วาที ขมเป็นห่วงวาที จึงพูดเกลี้ยกล่อมให้เปรี้ยวมาเป็นพยาน และวาทีก็รอดจากการถูกลงโทษในที่สุด จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้วาทีได้คบกับเปรี้ยว ส่วนความรักของสุคนธ์และครูญาดาก็กำลังไปได้สวย ความรักของวาทีกับเปรี้ยวมาถึงจุดจบ มื่อเปรี้ยวตัดสินใจไปเรียนเมืองนอก และเลิกคบกับวาที ทำให้วาทีรู้สึกเศร้าและไม่เป็นอันทำอะไร ในขณะที่ครูญาดาไปหมั้นกับชายคนหนึ่ง ทำให้สุคนธ์ก็ช้ำในความรัก และตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย วาทีรู้สึกสูญเสียทั้งแฟน และเพื่อน จนไม่เป็นอันเรียน และคะแนนของวาทีก็เสี่ยงที่จะโดนรีไทร์ โดยต้องวัดดวงในการสอบครั้งสุดท้าย ขมตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลือวาที ด้วยการติวเข้มสำหรับการสอบที่จะมาถึง ระหว่างการติวเข้มนี้เอง วาทีก็ค้นพบว่าจักรยานสีแดงที่ถูกคันของตนไม่ใช่เปรี้ยว แต่เป็นขม เจ้าของจักรยานสีแดงอีกคัน ที่คอยช่วยเหลือตัวเองมาตลอด และเรื่องก็จบลงด้วยความรักอันสมหวังของวาทีกับขม พร้อมกับการสอบผ่านของวาที และการได้รับการยอมรับจากรุ่นพี่ปกครองที่มีความพยามในเรื่องเรียน

วิธีการสร้าง Playlist youtube

1.Login http://www.youtube.com/
หลังจากนั้นคลิกเลือก Favorites
2.คลิกเลือก Playlists +New กรอกชื่อ Playlist
กด Create Playlist

3.เมื่อสร้าง Playlist เสร็จแล้ว ให้เข้าเว็บ Youtube เพื่อนำVDO มาใส่เป็น Playlist

4.เมื่อเลือก VDO ที่จะนำมาเป็น Playlist ได้แล้ว ให้คลิกเพื่อนำ VDO ดังกล่าวใน Playlist ที่เสร้างไว้ตอนแรก

แค่นี้ก็สร้าง Playlist ได้เรียบร้อยแล้วครับ
ส่วนวิธีการนำ Playlist ไปเล่น
ให้เข้าไปที่ เมนู My Videos & Playlists ของ Youtube
เลือก Playlist ที่เราต้องการเล่น คลิกที่ PlayALL
หรือหากอยากนำไปแจกให้คนอื่นดู ให้คลิกที่ Share จะมี Playlist URL ให้นำ URL นี้ให้แบ่งปันกันได้แล้วคับ

การซ่อน uTorrent ไม่ให้ใครรุ้ว่าเราเล่นอยู่

1. เปิดโปรแกรม uTorrent มา
2. ที่หัวข้อ Options>>Preferences>>General ติกเอาเครื่องหมายถูกออก Start uTorrent
3. กด O.K ไป
4. ไปที่เดสท็อป Shortcut uTorrent คลิกขวา เลือก Properties
5. ตรงที่เขียนว่า Target กดว่าง1ที่แล้วพิมพ์ /hide ตัวอย่าง
"C:/Program Files/uTorrent/uTorrent.exe" /hide
6. กด O.K
7. กดปุ้มเมนู Start>>>Programs>>Startup (ตรงStartup คลิ้กขวา Open)
8. Copy Shortcut uTorrent (ที่เราตั้งค่าใส่ /hide เมื่อกี่นี้) มาวางใน Startup
9. ปิดแล้วเปิดเครื่องใหม่ สังเกตว่า แท๊บทาสบาร์ ไม่มี uTorrent ขึ้นโชวแล้วครับ แต่ดูในTask Manager แท็ป Processes จะเห็นว่า uTorrent ทำงานอยุ่
10.ถ้าจะเปิด uTorrent ก็ให้ดับเบิ้นคลิกที่ Shortcut uTorrent ปกติ แต่ถ้าจะซ่อนอีก ตรงนี้สำคัญนะครับ คลิกขวา ที่ uTorrent
ตรงแท๊บทาสบาร์ แล้ว Exit ไปซะ แล้วไปดับเบิ้นคลิกที่ Shortcut uTorrent อีกที่ก็จะซ่อนอีกครั้งนะครับ

การใส่โค้ด c#,sql,javascript ลงใน Blog

1.Loging เข้าสู่ www.blogger.com
2.เลือกที่ Tap การออกแบบ คลิกที่ แก้ไข HTML
นำโค้ดเหล่านี้ไปที่ Header แล้วกดบันทึก

    






วิธีการนำโค้ดไปใส่


SELECT *FROM users
WHERE user_id = 1212;



SELECT *FROM users
WHERE user_id = 1212;

ตั้งปิดเครื่องอัตโนมัติ ตามเวลาที่เราต้องการ

1.เปิด NotePad ขึ้นมาแล้วพิมพ์
shutdown.exe -s -t 00
Save ด้วยชื่อ Shutdown.bat ไว้ที่ c:\
2.ไปที่ Start > Program > Accessories > System Tools > Task Scheduler
คลิกขวาที่ Task Sheduler Library เลือก Create Task
ที่ Tap General ให้ใส่ค่า Name ตั้งชื่อตามเราต้องการ
3.เลือกที่ Tap Triggers คลิกที่ New และตั้งค่าวันเวลาที่ให้ปิดเครื่องตามเราต้องการ
4.เลือกที่ Tap Actions คลิกที่ New
Action: เลือก Start a program
Program/script: ให้ทำการ Browse ไฟล์ Shutdown.bat หลังจากนั้นคลิก OK
5. คลิก OK อีกครั้ง เพื่อสิ้นสุดการตั้งอัตโนมัติ
จากนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ก็สามารถปิดเครื่องได้เองแล้วครับ

วิธีการใช้งาน Google Reader

1.เข้าไปที่ http://www.google.com/reader/ ใช้ UserName ของ Gmail ได้เลยครับ
2.หาเว็บที่เราต้องการอ่าน Rss จะเป็นเป็น Logo ตัว R สีส้ม ตัวอย่าง


ตัวอย่าง URL http://www.manager.co.th/RSS/Politics/Politics.xml
3.ให้เข้าไปที่ Google Reader คลิกที่ Add Subscriptions

หลังจากนั้นนำ URL ที่ได้มาใส่แล้วกด Add เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
4.เมื่อต้องการอ่าน Rss (ไม่มีเวลาไปอ่านข่าวเว็บนั้นทุกๆวันเสียเวลา) ตรงเมนู Subscriptions
คลิกเลือก Rss ที่เราได้ Add ไว้ แล้วก็อ่านได้ตามสบาย หุหุ